EDU Research & Innovation
มธ.ปักหมุดหลักสูตร‘AI Ethics’หนุน บริบทใหม่ของห้องเรียนทันโลก

กรุงเทพฯ 19 มิถุนายน 2568 – มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ตอกย้ำจุดยืนเชิงรุกต่อการเปลี่ยนผ่านของโลกยุคดิจิทัล ผ่านการพัฒนาหลักสูตร “AI Ethics” หรือจริยธรรมปัญญาประดิษฐ์ ภายใต้ยุทธศาสตร์ Thammasat Next Century เตรียมความพร้อมให้เยาวชนไทยมีทั้งความรู้ ความสามารถ และความรับผิดชอบในการใช้งานเทคโนโลยีอย่างเหมาะสม โดยเฉพาะในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่ปัญญาประดิษฐ์กำลังกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน ทั้งในห้องเรียน ที่ทำงาน และบนแพลตฟอร์มออนไลน์ต่าง ๆ โดยหลักสูตรนี้ถูกวางให้เป็นรากฐานสำคัญของระบบการศึกษายุคใหม่ ที่ไม่เพียงเน้นทักษะด้านเทคนิคเท่านั้น แต่ยังปลูกฝังค่านิยมที่ถูกต้องในการอยู่ร่วมกับเทคโนโลยี พร้อมชี้ให้เห็นถึงความเสี่ยงของ AI ที่เกิดจาก “อคติของข้อมูล” (Data Bias) หรือการนำไปใช้ในบริบทที่มีความอ่อนไหวในแต่ละสาขาวิชาชีพ อาทิ แพทย์ จิตวิทยา หรือกฎหมาย ที่ต้องพิจารณาเรื่องคุณธรรม จริยธรรม และความไว้วางใจ ควบคู่ไปกับประสิทธิภาพทางเทคโนโลยี และคำนึงว่า AI ไม่ใช่ศาสตร์แยกขาดจากบริบทของมนุษย์ แต่เป็นทักษะเสริมและเครื่องมือที่ต้องประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับแต่ละวิชาชีพ
ศ. ดร.ศุภสวัสดิ์ ชัชวาลย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เปิดเผยว่า ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ได้กลายเป็นแกนหลักของการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีและเศรษฐกิจในปัจจุบัน ด้วยศักยภาพในการเพิ่มประสิทธิภาพ ลดภาระงาน และแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อน ขณะที่ในด้านการลงทุน AI กำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยเฉพาะในภาคบริการทางการเงินที่คาดการณ์ว่าจะมีการใช้จ่ายด้าน AI สูงถึง 9.7 หมื่นล้านดอลลาร์ภายในปี 2027 ซึ่งการคาดการณ์ที่แข็งแกร่งนี้สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของผู้นำองค์กร โดย 70% ของ CEO และ 68% ของ CFO เชื่อว่าองค์กรที่ไม่ลงทุนในเทคโนโลยี AI โครงสร้างพื้นฐาน และทักษะที่เกี่ยวข้องในขณะนี้ จะไม่สามารถอยู่รอดได้ในอีก 5 ปีข้างหน้า
ขณะเดียวกันยังมีความท้าทายสำคัญในการ ใช้ AI เพื่อช่วงชิงความได้เปรียบทางการแข่งขัน ซึ่งอาจนำไปสู่การละเลยด้านจริยธรรมในกระบวนการพัฒนาและปรับใช้ AI อย่างรอบคอบ ซึ่งการมุ่งเน้นเพียงประสิทธิภาพและผลตอบแทนทางธุรกิจโดยไม่ให้ความสำคัญกับหลักการจริยธรรม อาจสร้างความเสี่ยงและผลกระทบเชิงลบที่รุนแรงในระยะยาว เช่น การละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล การสร้างอคติในระบบ หรือการขาดความโปร่งใส ซึ่งสามารถทำลายความไว้วางใจของผู้บริโภคและภาพลักษณ์ขององค์กรในระยะยาว
“ในช่วงที่ AI เข้ามามีบทบาทในแทบทุกมิติ ภาคการศึกษาของไทยต้องไม่เดินตามหลังโลก โดยต้องเป็นผู้นำการปลูกฝังความเข้าใจ ความเท่าทันเทคโนโลยีควบคู่กับหลักจริยธรรม เพื่อเตรียมเยาวชนให้พร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงอย่างมีความรับผิดชอบ ดังนั้น ธรรมศาสตร์จึงมีการผลักดันหลักสูตร “จริยธรรม AI” หรือ “AI Ethics” ร่วมกับคณะผู้บริหารฝ่ายวิชาการมธ. โดยมี ผศ. ดร.รัชฎา คงคะจันทร์ ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายวิชาการ และอาจารย์ประจำสาขาวิชาวิทยาศาสตร์และนวัตกรรมข้อมูล (Data Science and Innovation) เป็นหนึ่งในแกนนำหลักที่เชี่ยวชาญด้าน AI ร่วมจัดทำรายวิชา AI นี้ขึ้น อาทิ รายวิชา TU280 “จริยธรรมปัญญาประดิษฐ์สำหรับผู้นำอนาคต” (Artificial Intelligence Ethics for Leader of the Future) นำร่องภายใต้รายวิชาศึกษาทั่วไป หรือ เจนเอด (General Education) เพื่อบ่มเพาะนักศึกษาทุกคณะให้มีจริยธรรมตั้งแต่ระดับพื้นฐาน ซึ่งไม่เพียงรู้จักการใช้ AI อย่างมีประสิทธิภาพเท่านั้น แต่ยังตระหนักถึงผลกระทบต่อสิทธิมนุษยชน ความเสมอภาค และความโปร่งใสด้วย”
ด้าน ผศ. ดร.รัชฎา คงคะจันทร์ ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายวิชาการ และอาจารย์ประจำสาขาวิชาวิทยาศาสตร์และนวัตกรรมข้อมูล (Data Science and Innovation) วิทยาลัยสหวิทยาการ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ชี้ให้เห็นว่า อคติใน AI เป็นข้อกังวลที่สำคัญของการใช้งานกับงานหลากหลายประเภท เนื่องจาก AI เรียนรู้โดยการประมวลผลข้อมูลจำนวนมหาศาล และหากข้อมูลที่ใช้ในการฝึกฝนมีอคติหรือไม่ได้เป็นตัวแทนที่หลากหลาย อัลกอริทึมก็จะสะท้อนและขยายอคตินั้นออกไป ซึ่งนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ไม่เป็นธรรมหรือการเลือกปฏิบัติ แต่อย่างไรก็ตาม การที่ AI มีอคติเนื่องจากข้อมูลที่ใช้ฝึกฝน ไม่ได้หมายความว่า AI สร้างอคติขึ้นมาเอง แต่เป็นผลลัพธ์ของการที่อคติทางสังคมที่มีอยู่เดิมในอดีตและปัจจุบันถูกฝังอยู่ในชุดข้อมูลที่ AI เรียนรู้ ยกตัวอย่างเช่น หากข้อมูลการจ้างงานในอดีตแสดงการเลือกปฏิบัติต่อกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง AI ก็จะเรียนรู้และทำซ้ำรูปแบบนั้น การแก้ไขอคติใน AI จึงต้องเริ่มตั้งแต่ต้นทางของกระบวนการ ได้แก่ การทบทวนและปรับปรุง คุณภาพของข้อมูล รวมถึงการสร้างชุดข้อมูลที่หลากหลายและเป็นตัวแทนที่แท้จริงของประชากร
นอกจากนี้ AI ยังส่งผลกระทบเชิงจริยธรรมในภาควิชาชีพ นำมาซึ่งโอกาสและความท้าทายเชิงจริยธรรมที่แตกต่างกันตามบริบทการใช้งาน อาทิ ในด้านการแพทย์ เทคโนโลยี AI มีบทบาทสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ลดภาระงานเอกสาร ช่วยในการอ่านผลการตรวจ คัดกรองผู้ป่วย และวิเคราะห์ภาพทางการแพทย์ อย่างไรก็ตาม แม้ AI จะช่วยเสริมศักยภาพระบบบริการสุขภาพอย่างมหาศาล แต่ก็ยังมาพร้อมกับประเด็นจริยธรรมที่ซับซ้อน โดยเฉพาะในเรื่องความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของข้อมูลผู้ป่วย รวมถึงอคติของอัลกอริทึมที่อาจนำไปสู่การให้คำแนะนำการรักษาที่ไม่ปลอดภัยหรือไม่ถูกต้อง ซึ่งหากไม่มีการควบคุมหรือกลไกตรวจที่เหมาะสม อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตและสุขภาพของผู้ป่วย
นอกจากด้านการแพทย์แล้ว เทคโนโลยี AI ยังเข้ามามีบทบาทสำคัญในวิชาชีพด้านจิตวิทยาและสุขภาพจิต โดยเฉพาะในรูปแบบแชทบอท (Chatbot) ที่สามารถให้คำปรึกษาได้ตลอด 24 ชั่วโมง ช่วยลดข้อจำกัดเรื่องสถานที่ เวลา และค่าใช้จ่าย ทั้งยังช่วยรักษาความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งาน ซึ่งอาจเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่รู้สึกไม่สะดวกใจในการพูดคุยแบบตัวต่อตัว อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงในบริบทนี้ก็ไม่อาจมองข้ามได้ ตั้งแต่ประเด็นเรื่องการรักษาความลับของผู้ใช้งาน ไปจนถึงความแม่นยำของการวินิจฉัยที่อาจคลาดเคลื่อน ในอีกด้านหนึ่งของความท้าทายคือ วิชาชีพด้านกฎหมาย ซึ่ง AI กลับกลายเป็นประเด็นที่ละเอียดอ่อนที่สุด หนึ่งในข้อกังวลหลักคือ อคติจากข้อมูลในอดีตที่อาจส่งผลต่อการทำนายหรือวิเคราะห์ เช่น ระบบทำนายการกระทำผิดซ้ำที่ตอกย้ำความไม่เป็นธรรมทางเชื้อชาติ อีกทั้งยังมีกรณีที่ทนายความใช้ ChatGPT ทำวิจัยและอ้างอิงคดีที่ไม่เคยมีอยู่จริง ซึ่งส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือของการดำเนินกระบวนการยุติธรรมและมีความเสียหายต่อระบบกฎหมายอย่างร้ายแรง
“การประยุกต์ใช้ AI ในแต่ละวิชาชีพ จึงไม่ใช่แค่เรื่องของเทคโนโลยี หากแต่เป็นเรื่องของ “ความไว้วางใจ” และ “คุณธรรม” ที่ต้องเดินควบคู่กัน การพัฒนา AI ให้เก่งขึ้นต้องมาพร้อมกับการกำหนดแนวทางจริยธรรมและธรรมาภิบาลที่ชัดเจน เพื่อให้เทคโนโลยีอัจฉริยะกลายเป็นพลังบวกของสังคม ไม่ใช่ดาบสองคมที่ย้อนกลับมาทำร้ายมนุษย์เองในที่สุด แนวคิดสำคัญคือ การมอง AI ที่ไม่ใช่เป็นเพียงศาสตร์หนึ่ง แต่คือ “ทักษะเสริม” ที่สามารถประยุกต์ใช้ได้ในทุกสายอาชีพ ควบคู่ไปกับเปลี่ยนจากการสอน “AI คืออะไร” มาเป็น “เราจะอยู่ร่วมกับ AI อย่างไร” โดยเฉพาะการใช้ AI ให้สอดคล้องกับทักษะสายอาชีพที่หลากหลาย นักเรียนและนักศึกษาจึงควรมีทั้งทักษะดิจิทัลและความเข้าใจด้านจริยธรรมควบคู่กันไป เช่น นักศึกษาแพทย์ที่ใช้ AI ช่วยวินิจฉัยโรค ก็ต้องเข้าใจว่าเบื้องหลังโมเดลเหล่านั้นมีข้อจำกัดและความเสี่ยงจากอคติของข้อมูลที่ต้องระมัดระวัง”
ผศ. ดร.รัชฎา กล่าวทิ้งท้ายว่า ในอีกด้านหนึ่ง ภาครัฐและเอกชนก็มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนระบบนิเวศการเรียนรู้ด้าน AI อย่างทั่วถึง โดยเฉพาะกลุ่มแรงงานที่มีความเสี่ยงจะถูกแทนที่โดยระบบอัตโนมัติ รัฐควรลงทุนกับการจัดอบรมหรือบรรจุเนื้อหาเกี่ยวกับ AI ตั้งแต่ระดับมัธยมศึกษาเพื่อปูพื้นฐานการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน ภาคเอกชนเองก็ต้องไม่มองแค่การใช้เครื่องมือ แต่ต้องปลูกฝังวัฒนธรรมการตัดสินใจเชิงจริยธรรมภายในองค์กรด้วย ไม่ว่าจะเป็นการสรรหาบุคลากร การให้บริการลูกค้า หรือการประเมินผลต่าง ๆ ทั้งนี้ หลักสูตร AI Ethics ถือเป็นส่วนหนึ่งของแผนยุทธศาสตร์ “Thammasat Next Century” ที่มุ่งยกระดับธรรมศาสตร์ให้เป็นมหาวิทยาลัยสมบูรณ์แบบเพื่อสังคมแห่งอนาคต โดยเชื่อมั่นว่าการพัฒนาประเทศในยุคดิจิทัลต้องไม่ทิ้งหลักจริยธรรมและความรับผิดชอบต่อสังคม พร้อมวางเป้าหมายให้ผู้เรียนสามารถเติบโตเป็นพลเมืองดิจิทัลที่ “เก่งและดี” อย่างสมดุล มีทักษะคิดวิเคราะห์ ใช้ AI เพื่อสร้างสรรค์สิ่งใหม่อย่างเท่าทัน และไม่หลงลืมหลักคุณธรรมในการใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่นในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
อย่างไรก็ตาม รายวิชาใหม่ “TU280 จริยธรรมปัญญาประดิษฐ์สำหรับผู้นำอนาคต (Artificial Intelligence Ethics for Leader of the Future)” ภายใต้หมวดวิชาศึกษาทั่วไป หรือ เจนเอด (General Education) เริ่มเปิดสอนตั้งแต่ภาคการศึกษาที่ 1 ปีการศึกษา 2568 เป็นต้นไป โดยนักศึกษาทุกคณะ ทุกหลักสูตร (ปรับปรุง พ.ศ. 2561 และ 2566) จะได้เรียนรายวิชานี้อย่างทั่วถึง ซึ่งรายวิชานี้จัดการเรียนการสอนโดยทีมคณาจารย์จากหลากหลายศาสตร์ พร้อมทั้งเชิญผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านและวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิในแวดวงปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาร่วมถ่ายทอดองค์ความรู้ เพื่อเสริมสร้างมุมมองที่ลึกซึ้งและรอบด้านแก่ผู้เรียน โดยเนื้อหาเน้นการวิเคราะห์กรณีศึกษาและการถกเถียงเชิงจริยธรรมในสถานการณ์จริงที่เกี่ยวข้องกับ AI เพื่อเตรียมเยาวชนไทยให้พร้อมรับมือกับอนาคตอย่างมีความรับผิดชอบ ทั้งในฐานะผู้ใช้งาน ผู้ตัดสินใจ และผู้ออกแบบเทคโนโลยีใหม่ในโลกที่ขับเคลื่อนด้วยปัญญาประดิษฐ์
“มธ.ไม่ได้มุ่งเพียงสร้าง “คนเก่ง” แต่ต้องสร้าง “คนเก่งอย่างมีความรับผิดชอบ” เพื่อให้เยาวชนไทยเติบโตท่ามกลางยุคดิจิทัลได้อย่างมั่นคง เข้าใจทั้งพลังและขีดจำกัดของเทคโนโลยี และเป็นผู้ใช้ AI ที่มีสติและจริยธรรมเป็นเข็มทิศนำทางสู่อนาคตที่ยั่งยืน”