Biz news
กูรูเศรษฐกิจอาเซียนระบุอาเซียนยืนหนึ่ง เต็มศักยภาพพร้อมฝ่าวิกฤตโลก

กรุงเทพฯ-กูรูด้านเศรษฐกิจอาเซียนระบุ ภูมิภาคอาเซียนมีศักยภาพในการเติบโตที่โดดเด่นท่ามกลางสภาวะการเปลี่ยนแปลงทั่วโลก ทั้งผลกระทบจากทิศทางนโยบายทางเศรษฐกิจของประเทศมหาอำนาจเดิมและการเปลี่ยนแปลงขั้วอำนาจทางเศรษฐกิจใหม่ แนะอาเซียนรวมตัวเจรจาต่อรองกับสหรัฐฯ แทนการเจรจาเพียงลำพังแต่ละประเทศ พร้อมสร้างเครือข่ายเศรษฐกิจใหม่จากรากฐานความสัมพันธ์เดิมร่วมกับจีน และอินเดีย รวมถึงเปิดการเจรจาพหุภาคีกับกลุ่มประเทศในยุโรป อเมริกากลาง อาฟริกา เสริมความแกร่ง สู่การเป็นกลุ่มประเทศเศรษฐกิจที่ร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก
ศาสตราจารย์คิชอร์ มาห์บูบานี (Prof. Kishore Mahbubani) Distinguished Fellow สถาบันวิจัยเอเชีย มหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ กล่าวในงานสัมมนา ASEAN FORUM 2025 ที่จัดโดยสมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (Thailand Management Association หรือ TMA) ว่า “อาเซียนเป็นประชาคมที่มีศักยภาพในการเติบโต เมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่นๆ ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลก จากการเปลี่ยนแปลงนโยบายทางเศรษฐกิจของประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกา ที่เปลี่ยนแนวคิดการค้าเสรี และเปลี่ยนกติกาทางเศรษฐกิจใหม่ ไปสู่การกีดกันทางการค้า โดยการนำประเด็นเรื่องการจัดเก็บภาษีศุลกากรนำเข้าของรัฐบาลประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กับประเทศที่ได้เปรียบดุลการค้ากับสหรัฐฯ
อย่างที่ทุกคนทราบปัจจุบันเราอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ท้าทาย เพราะเราไม่ทราบว่าจะเกิดอะไรใหม่ๆ ขึ้นบ้าง โลกใหม่ในปัจจุบันเป็นโลกที่กำลังกลับหัวกลับหาง เราต้องรู้ว่าเราจะอยู่กับโลกในปัจจุบันอย่างไร สหรัฐฯ เคยเป็นผู้สร้างกติกาเศรษฐกิจการค้าเสรีเมื่อ 40 ปีก่อน ซึ่งเศรษฐกิจเสรีได้สร้างมูลค่าและการเติบโตของเศรษฐกิจโลกมาตลอด 4 ทศวรรษที่ผ่านมา เศรษฐกิจโลกเติบโตจาก 13 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ เมื่อปี 1985 เป็น 111 ล้านล้านเหรียญสหรัฐในปี 2024 ขณะที่เศรษฐกิจอาเซียน เติบโตจาก 2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 1985 เพิ่มเป็น 26 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปัจจุบัน
แต่ปัจจุบัน สหรัฐอเมริกาได้เปลี่ยนแปลงระเบียบโลกที่ตัวเองสร้างขึ้นมาเมื่อ 40 ปีก่อน โดยการนำแนวคิดของการกีดกันทางการค้ามาใช้ ซึ่งส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่กับเศรษฐกิจโลก และท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว กลุ่มประชาคมอาเซียน ต้องรับมือกับการเปลี่ยนแปลงนโยบายของสหรัฐฯ โดยการรวมกลุ่มเจรจาแทนการเจรจาเพียงลำพัง เพื่อสร้างอำนาจต่อรอง ในขณะเดียวกัน ต้องนำการเปลี่ยนแปลงมาสร้างโอกาสให้กับอาเซียน”
โดยศาสตราจารย์คิชอร์ มาห์บูบานี ได้กล่าวถึง 3 ปัจจัยที่อาเซียนสามารถนำมาสร้างโอกาสในการเป็นผู้นำในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจว่า “ประเด็นแรก ในฐานะที่อาเซียนเป็นภูมิภาคที่มีความขัดแย้งน้อยที่สุดในโลก ทางด้านภูมิศาสตร์ อาเซียนเป็นศูนย์กลางที่สามารถจะเชื่อมกับประเทศเศรษฐกิจใหญ่สองประเทศคือ จีนและอินเดีย โดยรวมเศรษฐกิจประชาคมอาเซียนเติบโตได้พอสมควร เมื่อปี ค.ศ. 2000 เศรษฐกิจญี่ปุ่นใหญ่กว่าอาเซียน 8 เท่า ปัจจุบัน เศรษฐกิจญี่ปุ่นใหญ่กว่าอาเซียนเพียง 1.5 เท่า และปี 2030 เศรษฐกิจอาเซียนจะใหญ่กว่าเศรษฐกิจของญี่ปุ่น และจากสถิติจะเห็นว่าอาเซียนมีอัตราการเติบโตที่ดีกว่ายุโรป เพราะยุโรปเผชิญกับสงครามยูเครน ผมได้ไปคุยกับเฮนรี่ คิสซิงเจอร์ ปีหนึ่งก่อนที่เขาจะเสียชีวิต เขาบอกว่ายุโรปไม่รู้ว่าโลกเปลี่ยนแปลงอะไรไปบ้าง ทำให้ยุโรปสูญเสียโอกาสทางธุรกิจ ในขณะที่อเมริกาเหนือมีข้อตกลงการค้าเสรีกับแคนาดา เม็กซิโก กับสหรัฐ แต่ตอนนี้ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น อเมริกาใต้ บราซิล ก็ไม่เติบโต ในขณะที่อาเซียนมีการเติบโตต่อเนื่อง และมีสิ่งใหม่ๆ เกิดขึ้นในภูมิภาคนี้ จึงเป็นโอกาสของอาเซียนที่จะเป็นกลุ่มประเทศที่เชื่อมโยงกับกลุ่มประเทศอื่นเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจอาเซียน และ เศรษฐกิจโลก ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
ประเด็นที่สอง คือ เราเห็นโอกาสที่มีหลายประเทศจะร่วมมือกับอาเซียน เพราะเป็นภูมิภาคที่มีศักยภาพเป็นอันดับต้นๆ ของโลก ปัจจุบัน 97% ของสินค้าที่นำเข้าระหว่างประเทศในกลุ่มประชาคมอาเซียน ไม่มีการเสียภาษีระหว่างกัน เมื่อเราเอากำแพงภาษีระหว่างกันออก เราต้องสร้างโอกาสและคู่ค้าใหม่ๆ เสริมสร้างการค้าเสรีในภูมิภาคกับภูมิภาคอื่นๆ
และประเด็นที่สาม คือ จากสภาพแวดล้อมของอาเซียนทั้งสองประเด็น เป็นการสร้างโอกาสครั้งใหญ่ ที่อาเซียนจะนำความได้เปรียบไปสร้างโอกาสทางธุรกิจ โดยร่วมกับ 2 ประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่เป็นเพื่อนบ้านของอาเซียน อย่างจีน และอินเดีย เพื่อสร้างเครือข่ายเศรษฐกิจขนาดใหญ่ได้ ถึงแม้ปัจจุบันจีน และอินเดีย ยังมีประเด็นความขัดแย้ง แต่ผมเชื่อว่าอาเซียนจะสามารถพัฒนาศักยภาพและสร้างความร่วมมือกับสองประเทศเศรษฐกิจใหญ่ในเอเชียได้ภายใน 10 ปี นับจากนี้ไป โดยเฉพาะประเทศไทยที่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับทั้งสองประเทศ”
ทั้งนี้ นายพิศาล มาณวพัฒน์ อดีตสมาชิกวุฒิสภา และอดีตเอกอัครราชทูตไทย ประจำประเทศสหรัฐอเมริกา ให้ความเห็นในเรื่องเดียวกันว่า “ถึงแม้อาเซียนจะมีศักยภาพในการเติบโต และขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก แต่ส่วนตัวมองว่า อาเซียนยังคงมีปัญหาความขัดแย้งภายในอยู่ ไม่ว่าจะปัญหาในเมียนมาร์ ปัญหาไทย-กัมพูชา อาเซียนถูกมองว่าเป็นศูนย์กลางของอาชญากรรมข้ามชาติ เพราะฉะนั้นการพัฒนาเศรษฐกิจของอาเซียนไม่สามารถทำได้ดี คนในอาเซียนเองก็มีไม่ชอบคนในภูมิภาคเดียวกัน ซึ่งเป็นปัญหาที่ทำให้เศรษฐกิจอาเซียนไม่สามารถเติบโตได้ดีเท่าที่ควรจะเป็น” นายพิศาลกล่าวและเพิ่มเติมว่า
“ส่วนที่มองว่าอาเซียนจะเป็นตัวเชื่อมอินเดียและจีน เป็นเรื่องที่เป็นไปได้แต่ก็ยาก ส่วนตัวผมมองว่า อาเซียนต้องจัดการตัวเองให้เรียบร้อยก่อน ถึงจะเป็นกลไกในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกได้ ผมก็อยากจะเชื่อว่าอีก 10 ปีข้างหน้า อาเซียนก็จะเติบโตและเป็นศูนย์กลางการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกได้”
ขณะที่ ดร. รานู ดายัล (Dr Ranu Dayal) ที่ปรึกษาอาวุโส บอสตัน คอนซัลติ้ง กรุ๊ป กล่าวในเวทีเดียวกันว่า “เราไม่มีทางรู้ว่า เกมทางเศรษฐกิจครั้งนี้ในระยะสั้นจะเป็นอย่างไรจากนโยบายที่กลับหัวกลับหางของสหรัฐอเมริกา แต่ผมเชื่อว่านโยบายนี้จะทำให้สหรัฐฯ เผชิญกับความล้มเหลวทางเศรษฐกิจ มีการตกงานของคนอเมริกัน มีปัญหาทางการเงิน และสหรัฐฯ จะสูญเสียความเป็นผู้นำทั้งด้านเทคโนโลยีและการเงิน รวมไปถึงสหรัฐฯ จะไม่ใช่ผู้นำทางการค้าโลกอีกต่อไป สิ่งที่ผมเห็นคือจะมี 3 เครื่องยนต์ที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกได้คือ จีน อินเดีย และอาเซียน จะเป็นผู้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกได้ถึง 80-90% เราเห็นโอกาสที่ชัดเจนว่าทั้งสามกลุ่มก้อนจะร่วมกันเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้ ที่ผ่านมาอาจจะมีความขัดแย้งระหว่างจีนและอินเดีย แต่ผมมองว่า อาเซียนน่าจะมีบทบาทเป็นผู้ที่เชื่อมทั้งสองประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ”
ขณะที่ นายคริส ฮัมฟรีย์ (Mr. Chris Humphrey) ผู้อำนวยการบริหารสภาธุรกิจสหภาพยุโรป-อาเซียน กล่าวว่า “ยุโรปให้ความสำคัญกับอาเซียนมากขึ้นหลังจากที่เผชิญกับนโยบายเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอนของสหรัฐอเมริกา ยุโรปเริ่มมองหาโอกาสและความร่วมมือกับพันธมิตรใหม่ๆ และอาเซียนเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับยุโรป ยุโรปต้องการที่จะเร่งให้การเจรจาเขตการค้าเสรีระหว่างยุโรปกับประเทศในอาเซียน ทั้งไทย ฟิลิปปินส์ และมาเลเซีย ให้ประสบความสำเร็จ และยุโรปก็มองเห็นโอกาสในการลงทุนในอาเซียนมากขึ้น
สิ่งที่อาเซียนต้องทำเพื่อให้เกิดความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับยุโรปคือ ต้องมีการทำงานร่วมกันอย่างบูรณาการของประเทศสมาชิกอาเซียน ผนวกอาเซียนให้เป็นตลาดเดียว ซึ่งจะสร้างโอกาสการเติบโตให้กับอาเซียนและประเทศพันธมิตรที่เข้ามาลงทุนในอาเซียน จากการสำรวจของเราพบว่า 6 ใน 10 ของนักธุรกิจยุโรป สนใจเข้ามาลงทุนในอาเซียน เพราะอาเซียนมีจุดแข็ง ที่มีภาคีหลากหลาย ทั้ง จีน อินเดีย ยุโรป ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ รัสเซีย ต่างเข้ามาลงทุนในอาเซียน จึงเป็นโอกาสสำหรับยุโรป ที่จะใช้อาเซียนเพื่อเชื่อมการลงทุนไปในภูมิภาคต่างๆ” นายฮัมฟรีย์ กล่าวสรุป
นอกจากนี้ ศาสตราจารย์มาร์ค กรีเวน (Prof Mark Greeven) คณบดีด้านเอเชีย ของ IMD ได้ให้ความเห็นเพิ่มเติมถึงโอกาสในการตอกย้ำจุดยืนที่มีศักยภาพของอาเซียนว่า “ผมมีประสบการณ์การทำงานในประเทศจีนมากว่า 25 ปี ผมเห็นการเปลี่ยนแปลงในจีน และความสัมพันธ์ทางการค้าที่ดีระหว่างจีนและอาเซียน และเห็นโอกาสในการพัฒนาธุรกิจร่วมกันของทั้งจีนและอาเซียนใน 5 ด้านด้วยกันคือ การขยายการลงทุนร่วมกันในเชิงกลยุทธ์ ความสามารถในการพัฒนาระบบการค้าการลงทุนร่วมกัน การสร้างตลาดใหม่ๆ การพัฒนาแพลตฟอร์มทางธุรกิจ และ การพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัล ทั้งฟินเทค(Fintech) รวมไปถึงนวัตกรรมด้านเอไอ ทั้งหมดนี้เป็นความสัมพันธ์ของอาเซียนกับจีน ที่ไม่เกี่ยวกับแรงงานต้นทุนต่ำ เป็นเรื่องนวัตกรรม ถ้าอาเซียนพร้อม จีนก็สามารถที่จะพัฒนาร่วมกับอาเซียน โดยเน้นการพัฒนาธุรกิจร่วมกันมากกว่าธุรกรรม
จีนพร้อมที่จะสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ให้กับอาเซียน ต้องมองประเทศจีนให้เป็นพันธมิตร และพัฒนานวัตกรรมร่วมกัน” ศาสตราจารย์กรีเวน กล่าว
โดยนายอบิจิต ดัดต้า (Mr. Abhijit Datta) Director of the Committee on South Asia, Middle East & Africa บริษัท เอสซีจี อินเตอร์เนชั่นแนล คอร์ปอเรชั่น จำกัด ได้ให้ข้อมูลสนับสนุนเพิ่มเติมเช่นกันว่า “อินเดีย เป็นประเทศที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ระดับ 5-6% ต่อปีอย่างต่อเนื่อง มีโครงสร้างประชากรที่มีคนในวัยทำงานเฉลี่ยอายุที่ 29 ปี มากกว่าพันล้านคน จึงเป็นโอกาสสำหรับการค้า การลงทุน และอินเดียมีการพัฒนาเรื่องของนวัตกรรม และให้ความสำคัญกับเทคโนโลยี โดยมีธุรกิจสตาร์ทอัพระดับยูนิคอร์นถึง 118 แห่ง เพราะอินเดียให้ความสำคัญกับเทคโนโลยี ในทางภูมิรัฐศาสตร์ อินเดียเป็นพันธมิตรกับทุกประเทศ เราต้องการสร้างความสมดุล กับประเทศจีนอาจจะเคยมีความขัดแย้งเรื่องชายแดนระหว่างกัน แต่ในปัจจุบันเราให้ความสำคัญกับการค้าและการลงทุนระหว่างกัน การที่จะทำให้เกิดความเชื่อมโยงกับอาเซียน เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ และเรามีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่จะสร้างโครงข่ายการเชื่อมโยง กับประเทศในกลุ่มอาเซียน เพื่อให้เกิดการค้าและการลงทุนร่วมกัน
ผมมองว่าโอกาสการลงทุนของอาเซียนในอินเดียมีมาก บริษัทไทยเข้าไปลงทุนในอินเดียจำนวนมาก และยังเป็นโอกาสในการสร้างโอกาสทางการค้าร่วมกันระหว่างอินเดียและอาเซียน” นายดัตต้ากล่าวสรุป
ภาคเอกชน มั่นใจ อาเซียน เป็นโอกาสสำหรับการลงทุน
นายอัศวิน เตชะเจริญวิกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มบีเจซี บิ๊กซี กล่าวในเวทีสัมมนาในหัวข้อเรื่อง “ Ingredient for the Booming Economy | New Investment Opportunities” ในเวที ASEAN FORUM 2025 ว่า “อาเซียนเป็นกลุ่มประเทศที่มีจุดเด่นในเรื่องความร่วมมือกันทั้งด้านการค้าและการลงทุน ปัจจุบันกลุ่มบีเจซี บิ๊กซี เข้าไปลงทุนในหลายประเทศในอาเซียน และเป็นโอกาสในการเติบโตในหลายอุตสาหกรรม อาทิ อุตสาหกรรมบริการ อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืน อุตสาหกรรมสีเขียว รวมไปถึงการพัฒนาเกี่ยวกับอุตสาหกรรมด้านพลังงานสะอาด ไปจนถึงนวัตกรรมที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีดิจิทัลและเอไอ”
นายซารีบูอา ซีอาฮัน (Mr. Saribua Siahaan) ผู้อำนวยการกองส่งเสริมการลงทุนประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และแปซิฟิก กระทรวงการลงทุนและอุตสาหกรรมปลายน้ำ/ หน่วยงานคณะกรรมการประสานงานการลงทุน (BKPM อินโดนีเซีย) กล่าวถึงโอกาสการลงทุนในอาเซียนว่า “ประเทศในกลุ่มอาเซียนเปิดรับโอกาสสำหรับการลงทุนในหลากหลายอุตสาหกรรม อย่างในประเทศอินโดนีเซีย รัฐบาลให้การสนับสนุนการลงทุนและพร้อมที่จะเปิดโอกาสให้ต่างชาติเข้ามา เรามีแผนสร้างเมืองใหม่ที่กาลิมันตัน เพื่อรองรับการลงทุนและลดความแออัดจากการลงทุนในกรุงจาการ์ตา รัฐบาลอินโดนีเซียพร้อมเปิดโอกาสให้ต่างประเทศเข้ามาลงทุน โดยสร้างสภาพแวดล้อมให้เอื้อต่อการเข้ามาลงทุนของทุกประเทศ และพร้อมเป็นประตูสู่อาเซียน
ปัจจุบันรัฐบาลอินโดนีเซียกำลังพัฒนาระบบที่จะให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนในอินโดนีเซียได้ง่ายขึ้น โดยให้ความสำคัญกับทุกอุตสาหกรรม ทั้งอุตสาหกรรมการผลิต การท่องเที่ยว รวมไปถึงด้านการแพทย์ และพลังงานหมุนเวียน ผมมองว่าท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงปัจจุบัน อาเซียนเป็นโอกาสสำหรับการลงทุนที่จะเชื่อมโยงกับทุกภูมิภาคในโลก” นายซารีบูอา ซีอาฮัน กล่าว
นายทรงวุฒิ อภิรักษ์ขิต ผู้อำนวยการสำนักอุตสาหกรรมยานยนต์ และสำนักบริการการลงทุน สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) กล่าวถึงความพร้อมของไทย ในการรองรับการเข้ามาลงทุนของประเทศต่างๆ ในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ว่า “อีอีซี ให้ความสำคัญกับการพัฒนาแนวคิดเรื่องเมืองอัจฉริยะ และสนับสนุนการลงทุนใน 5 คลัสเตอร์ ได้แก่ อุตสาหกรรมด้านการแพทย์และสุขภาพ อุตสาหกรรมดิจิทัลและอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมยานยนต์อัจฉริยะ อุตสาหกรรมเศรษฐกิจ BCG หรือเศรษฐกิจสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน ได้แก่ ด้านเทคโนโลยีชีวภาพ พลังงานสะอาด และการแปรรูปอาหาร และอุตสาหกรรมบริการ พร้อมๆ ไปกับการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ
ประเทศไทยมีความร่วมมือกับกลุ่มอาเซียน นิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย จีน เรามีความพร้อมในการพัฒนาระบบนิเวศน์ในภูมิภาคนี้ เพื่อขับเคลื่อนอาเซียนให้เป็นศูนย์กลางการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก ที่เชื่อมโยงกับเศรษฐกิจในภูมิภาคต่างๆ ไทยก็เหมือนกับอินโดนีเซีย มีกลไกเหมือนกัน เราพร้อมรับกับการเปลี่ยนแปลง และพัฒนาอย่างยั่งยืน” นายทรงวุฒิ กล่าวสรุป