Biz news

ผลสำรวจเผยคนไทยเรียกร้องให้แบรนด์ เปิดการใช้AI/แนะให้รัฐจัดการศึกษาAI 



กรุงเทพฯ ประเทศไทย,13 สิงหาคม พ.ศ. 2568 – ในขณะที่รัฐบาลกำลังขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่สังคมที่ส่งเสริมการใช้งาน AI อย่างเต็มศักยภาพ ได้มีผลสำรวจใหม่ที่เปิดตัวภายในงาน PRCA Thailand Conference 2025 ที่จัดขึ้นที่สยาม พารากอน เมื่อวันที่ 6 สิงหาคมที่ผ่านมา งานศึกษาชิ้นนี้ถูกจัดทำขึ้นในหัวข้อ "AI Sentiment Analysis: Trust, Ethics, and Equitable Adoption in Thailand" ที่เผยให้เห็นว่าคนไทยมีทัศนคติในแง่บวกต่อการเข้ามาของ AI  แต่ในขณะเดียวกัน พวกเขาก็ต้องการให้แบรนด์ต่าง ๆ มีความโปร่งใสมากขึ้นเกี่ยวการใช้ AI ทั้งภายในองค์กรและในงานสื่อสาร 

การศึกษาครั้งนี้เกิดขึ้นภายใต้ความร่วมมือระหว่างบริษัทวิจัยการตลาด YouGov และสมาคมประชาสัมพันธ์และการสื่อสารแห่งเอเชียแปซิฟิก (PRCA Asia Pacific) โดยได้มีการสำรวจความคิดเห็นของคนไทยกว่า 2,000 คน ครอบคลุมทุกช่วงอายุ เพศ และภูมิหลังทางเศรษฐกิจและสังคม ด้วยเป้าหมายเพื่อทำความเข้าใจทัศนคติของคนไทยต่อพัฒนาการของ AI โดยเฉพาะในมิติที่เชื่อมโยงกับความไว้วางใจและความโปร่งใสในการใช้เครื่องมือ AI ในชีวิตประจำวัน 

“AI ได้กลายมาเป็นเทรนด์หลักของสังคมมาสักระยะหนึ่งแล้ว ผู้คนและองค์กรต่าง ๆ ได้เริ่มนำเทคโนโลยี AI มาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตและการทำงาน ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในหลาย ๆ ด้าน ทั้งการตัดสินใจ การให้บริการ การมอบประสบการณ์ใหม่ ๆ ทั้งยังเปลี่ยนความคาดหวังของผู้คนต่อสิ่งเหล่านี้้ตามไปด้วย เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่างานศึกษาชิ้นนี้จะช่วยให้แบรนด์และหน่วยงานภาครัฐสามารถกำหนดแนวทางใหม่ ๆ ในการใช้ AI ในสังคมได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีความรับผิดชอบมากยิ่งขึ้น” นาย Gautam Gangaram, Research Director จาก YouGov กล่าว 

ผลสำรวจพบว่าในปัจจุบันมีคนไทยเกือบสามในสี่ที่ใช้ AI ในชีวิตประจำวัน โดยคนรุ่นใหม่ หรือ Gen Z เป็นช่วงอายุที่ใช้ AI มากที่สุด โดยมีผู้ตอบแบบสอบถาม Gen Z กว่า 86% บอกว่าพวกเขาใช้ AI เป็นประจำ 

นอกจากนี้ เรายังเห็นบทบาทของ AI ในรูปแบบที่แตกต่างกันออกไป ทั้งการใช้ AI อัลกอริทึมบนแพลทฟอร์มโซเชียลมีเดีย ไปจนถึงการใช้ AI เพื่อการศึกษา  การทำงานสร้างสรรค์ และการค้นหาข้อมูล 

ในส่วนของแนวโน้มการใช้เครื่องมือ AI เพื่อสร้างสรรค์ข้อมูลและเนื้อหา หรือที่เราเรียกว่า Generative AI นั้น ผลการศึกษาพบว่า ChatGPT เป็นเครื่องมือได้รับความนิยมมากที่สุด โดยมีผู้ใช้งานมากถึง 74% ซึ่งมากกว่า Gemini ที่มีผู้ใช้งานอยู่ที่ 49% อย่างเห็นได้ชัด ในขณะที่ Microsoft Copilot มีผู้ใช้งานอยู่เพียง 14.9% ซึ่งอาจไม่น่าแปลกใจเนื่องจาก Copilot เป็นเครื่องมือที่ถูกพัฒนามาเพื่อใช้งานในภาคธุรกิจเป็นหลัก 

ความคุ้นเคยของคนไทยต่อ AI ที่เพิ่มมากขึ้นนี้ ส่งผลให้คนไทยมีทัศนคติในแง่บวกต่อ AI ตามไปด้วย โดยผู้ตอบแบบสอบถามเกือบครึ่งหนึ่งหรือกว่า 48% มีมุมมองแง่บวกต่อ AI แสดงให้เห็นถึงการเปิดรับและความพร้อมของคนไทยต่อการประยุกต์ใช้ AI ในอนาคต นอกจากนี้ ผู้ตอบแบบสอบถามอีกกว่าสามในสี่ยังมองว่าผู้เชี่ยวชาญในสายงานต่าง ๆ  ควรเริ่มนำ AI เข้ามาใช้ในการทำงานของตัวเอง สะท้อนว่าคนไทยยอมรับและเข้าใจในศักยภาพของเทคโนโลยีนี้เป็นอย่างดี 

แต่แม้ว่าภาพรวมจะเป็นไปในแง่บวก ยังมีผู้ตอบแบบสอบถามกว่า 12% ที่มีความกังวลต่อการใช้ AI โดยเฉพาะเมื่อ AI ถูกนำไปใช้ร่วมกับเครื่องมือดิจิทัลอื่น ๆ เช่น เครื่องมือค้นหา (Search Engine) แอปพลิเคชัน  และแพลทฟอร์มซื้อของออนไลน์หรืออีคอมเมิร์ซ 

“ในยุคที่ AI เข้ามามีบทบาทในทุกย่างก้าวของชีวิตในโลกดิจิทัล จะเห็นได้ว่าทั้งความสนใจและความกังวลต่อ AI ต่างก็เพิ่มสูงขึ้นไปพร้อม ๆ กัน ดังนั้น เราจึงควรเร่งส่งเสริมให้สังคมเกิดความตระหนักรู้และความเข้าใจต่อ AI พร้อมไปกับการสร้างแนวทางเพื่อเปลี่ยนให้ความกังวลกลายมาเป็นการมีส่วนร่วมอย่างรู้เท่าทัน” นาย Ed Burleigh ประธานสมาคมประชาสัมพันธ์และการสื่อสารแห่งเอเชียแปซิฟิก กล่าว 

ความโปร่งใสของแบรนด์ ช่วยสร้างความไว้วางใจให้ผู้บริโภค 

ในขณะที่เทคโนโลยี AI ยังพัฒนาแบบก้าวกระโดดอย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลกระทบต่อสังคมและการดำเนินงานขององค์กรต่าง ๆ และทำให้ประเด็นความไว้วางใจต่อการใช้ AI เป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะกับแบรนด์ องค์กร และบุคคลที่มีอิทธิพลต่อความคิดและการตัดสินใจของผู้คน ทั้งต่อการเลือกใช้บริการหรือผลิตภัณฑ์ 

ผลการศึกษาชี้ว่าคนไทยส่วนมากถึง 92% ต้องการให้บริษัทต่าง ๆ เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการใช้ AI แสดงให้เห็นว่าพวกเขาต้องการเรียกร้องความโปร่งใสจากองค์กรเหล่านี้ ในขณะที่มีผู้ตอบแบบสอบถามเพียงหนึ่งในสามเท่านั้นที่ต้องการให้บริษัทเปิดเผยข้อมูลเพียงบางส่วน  ซึ่งส่วนใหญ่จะต้องการให้เปิดเผยเฉพาะในกรณีที่มีการใช้ AI เพื่อติดต่อสื่อสารกับผู้บริโภคโดยตรงเท่านั้น 

ประเด็นความโปร่งใสในการใช้ AI นั้นมีความเชื่อมโยงโดยตรงกับความไว้วางใจของผู้บริโภคอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยจะเห็นได้จากที่มีผู้ตอบแบบสอบถามกว่า 86% ชี้ว่าพวกเขาจะไว้วางใจในบริษัทเท่าเดิมหรือมากขึ้น หากองค์กรเหล่านั้นสื่อสารต่อสาธารณะเกี่ยวกับการใช้ AI อย่างเปิดเผยและชัดเจน 

ในกรณีของอินฟลูเอนเซอร์และคอนเทนต์ครีเตอร์ ผู้ตอบแบบสอบถาม 35% มองว่าอินฟลูเอนเซอร์ที่ใช้ AI จะทำให้คอนเทนต์ดูน่าสนใจและเข้าถึงได้มากขึ้น อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้ไม่ได้หมายความว่าอินฟลูเอนเซอร์ควรจะพึ่งพา AI ในการสร้างคอนเทนต์เพียงอย่างเดียว เนื่องจากผู้ตอบแบบสอบถามอีกเกือบครึ่งหนึ่งยังมองว่า AI ควรจะถูกใช้เป็นเครื่องมือสนับสนุนความคิดสร้างสรรค์เท่านั้น  ไม่ใช่เพื่อทดแทน 

คนไทยอยากได้รัฐบาลที่ผลักดันการใช้ AI อย่างจริงจัง 

จากการที่คนไทยเล็งเห็นถึงศักยภาพของ AI ในฐานะเทคโนโลยีที่สามารถพัฒนาคุณภาพชีวิตของพวกเขาได้ เราจึงเห็นความกระตือรือร้นในการแสวงหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ AI อย่างชัดเจน โดยผู้ตอบแบบสอบถามกว่า 40% ชี้ว่าสนใจการเรียนรู้เรื่อง AI ผ่านการอบรมแบบลงมือทำหรือเวิร์กช็อป 39% ต้องการเรียนรู้ผ่านวิดีโอที่สอนโดยอินฟลูเอนเซอร์สายเทคโนโลยี และ 36% ต้องการเรียนรู้ผ่านคอร์สออนไลน์ 

ความกระตือรือร้นนี้มาพร้อมกับข้อเสนอแนะที่คนไทยอยากให้รัฐบาลเข้ามากำกับดูแลการใช้ AI ให้เป็นไปอย่างมีความรับผิดชอบมากขึ้น  โดยพวกเขายังเรียกร้องให้มีการร่างข้อกฎหมายใหม่ ๆ ที่จะช่วยให้สังคมมั่นใจได้ว่า AI  จะถูกนำไปใช้อย่างมีจริยธรรม  โปร่งใส และปลอดภัย โดยประเด็นจริยธรรม เป็นสิ่งที่ผู้ตอบแบบสอบถามคาดหวังให้รัฐบาลกำกับดูแลมากที่สุด (52%) ตามมาด้วยการจัดการศึกษาเกี่ยวกับ AI (50%) และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI (38%)  เพื่อให้ทุกคนในประเทศสามารถเข้าถึงเทคโนโลยี AI ได้อย่างแพร่หลาย 

ผลการศึกษาทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นถึงความปรารถนาของคนไทยที่ต้องการสร้างสังคมที่ทั้งส่งเสริมและปกป้องพวกเขาในโลกที่ AI เข้ามามีบทบาทมากขึ้นในชีวิตพวกเขาอย่างต่อเนื่อง