Biz news

เปิดตัว'สมการใหม่'กลยุทธ์ใหม่ระดับโลก PwCชูรับมือการเปลี่ยนแปลงพื้นฐาน



กรุงเทพ- PwC เปิดตัว “สมการใหม่”ซึ่งเป็นกลยุทธ์ระดับโลกที่ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงขั้นพื้นฐานในโลกไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจ กาเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ภูมิศาสตร์การเมืองที่มีความแตกแยกและผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 โดยกลยุทธ์ “สมการใหม่” นี้เกิดจากการวิเคราะห์แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของโลก ประกอบกับการสนทนากับลูกค้าและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจำนวนหลายพันรายบนพื้นฐานของการสร้างการเติบโตของรายได้อย่างยั่งยืนมานานกว่าทศวรรษและการลงทุนอย่างต่อเนื่องของบริษัท

ทั้งนี้ กลยุทธ์ “สมการใหม่” มุ่งเน้นไปที่ความต้องการที่เชื่อมโยงถึงกันสองประการที่ลูกค้าจะต้องเผชิญในปีต่อ ๆ ไป ดังต่อไปนี้

ประการแรก คือ การสร้างความไว้วางใจซึ่งไม่เคยมีความสำคัญมากและสร้างได้ยากยิ่งขนาดนี้มาก่อนองค์กรจำเป็นต้องได้รับความไว้วางใจในประเด็นต่าง ๆ ที่มีความสำคัญต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียมากขึ้น ซึ่งความสำเร็จนี้ขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนแปลงขั้นพื้นฐานขององค์กร ไม่ว่าจะเป็นวิธีคิดของผู้บริหาร วัฒนธรรมองค์กร ระบบและจุดมุ่งหมายของการดำเนินธุรกิจ

ประการที่สอง คือการส่งมอบผลลัพธ์ที่ยั่งยืนในสภาพแวดล้อมที่การแข่งขันและความเสี่ยงต่อการหยุดชะงักของธุรกิจนั้นรุนแรงกว่าที่เคยรวมถึงความคาดหวังของสังคมที่สูงขึ้นอย่างไม่เคยมีมาก่อน ดังนั้นธุรกิจจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและทั่วถึงมากขึ้นเพื่อดึงดูดเงินทุน บุคลากรมากความสามารถ และลูกค้า อย่างไรก็ตามบ่อยครั้งเราจะพบว่า โครงการที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงต้องพบกับข้อจำกัดและไม่ได้รับผลลัพธ์ตามที่คาดหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ธุรกิจจึงมีความจำเป็นที่จะต้องเสาะหาแนวทางใหม่

นาย บ็อบ มอริตซ์ ประธาน บริษัท PwC โกลบอล กล่าวว่า“การที่องค์กรจะประสบความสำเร็จจากการเปลี่ยนแปลงอย่างลึกซึ้งใด ๆ ในโลกได้จะต้องอาศัยการทำธุรกิจบนพื้นฐานของการได้รับความไว้วางใจและการส่งมอบผลลัพธ์ที่ยั่งยืนโดยการนำความสามารถเฉพาะตัวของเรามาผนวกเข้ากับการลงทุนอย่างจริงจังและความมุ่งมั่นในการส่งมอบงานที่มีคุณภาพจะทำให้เราสามารถช่วยเหลือองค์กรเหล่านี้ได้ ซึ่งในการทำเช่นนั้นเรายังจะได้ช่วยปลดล็อคคุณค่าให้แก่ผู้ถือหุ้น ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และสังคมในวงกว้างด้วย”

PwC จะช่วยสร้างความไว้วางใจและส่งมอบผลลัพธ์ที่ยั่งยืนได้อย่างไรรูปแบบการดำเนินธุรกิจที่อาศัยความเชี่ยวชาญจากหลายสาขาของ PwCถือเป็นรากฐานของกลยุทธ์นี้ในการสร้างให้เกิดศูนย์รวมผู้เชี่ยวชาญที่มีความหลากหลายเพื่อช่วยลูกค้าสร้างความไว้วางใจและส่งมอบผลลัพธ์ที่ยั่งยืน โดยรูปแบบการดำเนินธุรกิจนี้ยังทำให้เกิดการลงทุนในระดับที่สมดุลกับความสามารถในการส่งมอบงานที่มีคุณภาพ และสร้างผลกระทบเชิงบวกให้กับลูกค้าผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และสังคมได้ ซึ่งเครือข่าย PwC ทั่วโลก มีแผนที่จะลงทุนกว่า 1.2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ภายใน 5 ปีข้างหน้าเพื่อสร้างงานในตำแหน่งใหม่ ๆ เพิ่มอีก 1 แสนตำแหน่ง ตลอดจนพัฒนาทักษะของหุ้นส่วนและพนักงานของ PwC อย่างต่อเนื่อง

สำหรับแนวทางในการสร้างความไว้วางใจของ PwCได้ถูกออกแบบมาเพื่อตอบสนองความคาดหวังต่อความโปร่งใสและการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่เพิ่มมากขึ้นผ่านทีมงานผู้เชี่ยวชาญจากหลากหลายสาขา ทั้งการตรวจสอบบัญชี ภาษี และการปฏิบัติตามกฎระเบียบรวมถึงความสามารถเฉพาะทางทั้งในเรื่องปลอดภัยทางไซเบอร์ ความเป็นส่วนตัวของข้อมูล การดำเนินธุรกิจที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมสังคม และธรรมาภิบาล (อีเอสจี) และปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) โดย PwC ตระหนักถึงความสำคัญของคุณภาพที่การรายงานและการปฏิบัติตามกฎระเบียบจะต้องมีความเชื่อมโยงกับวัฒนธรรมองค์กร ความคิดของผู้บริหารมาตรฐานที่สอดคล้องกัน ผู้เชี่ยวชาญที่ผ่านการรับรอง การควบคุมที่เข้มงวด เทคโนโลยีที่ถูกปรับให้เข้าการดำเนินธุรกิจและการกำกับดูแลที่เหมาะสมเช่นเดียวกับการส่งมอบผลลัพธ์ที่ยั่งยืนที่ต้องอาศัยวิธีการแบบบูรณาการ PwC จะมุ่งเน้นไปที่ผลลัพธ์ที่สร้างความสำเร็จแทนที่แนวทางของการใช้เทคโนโลยีแบบดั้งเดิมในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงขององค์กรเราจะระดมทีมผู้เชี่ยวชาญในหลากหลายสาขาตั้งแต่การวางกลยุทธ์ บริการด้านดิจิทัลและคลาวด์ การสร้างมูลค่า บุคลากรและองค์กรภาษี อีเอสจี ดีลส์ บริการด้านการฟื้นฟูธุรกิจ กฎหมายและการปฏิบัติตาม และบริการด้านอื่น ๆเพื่อส่งมอบผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจให้แก่ลูกค้า

สำหรับแผนการลงทุนของเครือข่าย PwC นั้น รวมถึง- อีเอสจี PwC จะขยายศูนย์รวมความเป็นเลิศของผู้เชี่ยวชาญด้านอีเอสจี รวมถึงความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศและห่วงโซ่อุปทาน ตลอดจนจัดตั้งสถาบันการศึกษาอีเอสจีระดับโลก ซึ่งจะช่วยให้หุ้นส่วนและพนักงานของ PwCสามารถบูรณาการความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับอีเอสจีเข้ากับงานของตนได้ โดยมีหุ้นส่วน 1,000 รายจากเครือข่าย 60 ประเทศได้เข้าร่วมโครงการนี้เป็นเวลา 6 สัปดาห์ เพื่อวิเคราะห์ปัญหาทางธุรกิจอันเป็นผลมาจากแนวโน้มวิกฤตต่าง ๆที่สำคัญของโลก

- คุณภาพ PwC จะลงทุนเพื่อเสริมสร้างคุณภาพของบริการด้านต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง ซึ่งเงินลงทุนจำนวน 1พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯจะถูกนำไปใช้ในการนำเทคโนโลยีและระบบอัตโนมัติมาประยุกต์ใช้ในกรอบการทำงานเพื่อเพิ่มคุณภาพของงานตรวจสอบบัญชี ตลอดจนการสร้างแบบจำลองสำหรับงานตรวจสอบบัญชีในอนาคต ซึ่งคาดว่า จะต้องใช้ข้อมูลประเภทต่าง ๆ มากขึ้นรวมทั้งการประเมินความเสี่ยง และบูรณาการข้อมูลที่ไม่ใช่ข้อมูลทางการเงินจะต้องมีความสมบูรณ์มากขึ้นโดยการลงทุนในเทคโนโลยีนี้ จะตั้งอยู่บนพื้นฐานของการพัฒนาคุณภาพการให้บริการโดยเรายังคงฝึกอบรมพนักงานและดำเนินการส่งมอบงานคุณภาพภายใต้ระเบียบวิธีที่เข้มงวดครอบคลุมทั่วทุกสายงาน

- สถาบันความเป็นผู้นำ วันนี้ผู้นำต้องการทักษะใหม่ ๆ เพื่อช่วยจัดการกับความไม่แน่นอน สร้างวัฒนธรรมที่ครอบคลุมและรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดฝัน สถาบันความเป็นผู้นำแห่งใหม่จึงจะถูกสร้างขึ้นเพื่อสนับสนุนลูกค้าและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย โดยสถาบันแห่งแรกจะถูกจัดตั้งในประเทศสหรัฐอเมริกาเพื่อสนับสนุนให้ผู้นำมากกว่า 10,000 คนในระดับ C-suite ผู้บริหาร และคณะกรรมการทั้งในปัจจุบันและอนาคต

ได้เรียนรู้ในการสร้างความไว้วางใจ นอกจากนี้ สถาบันความเป็นผู้นำอีกหนึ่งแห่งจะถูกจัดตั้งขึ้นในทวีปเอเชียแปซิฟิกซึ่งน่าจะได้มีการประกาศให้ทราบโดยทั่วกันภายในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า

- เทคโนโลยี PwC จะดำเนินกลยุทธ์ขององค์กรที่มีบุคลากรเป็นผู้นำ แต่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีโดยจะขยายการใช้งานคลาวด์ ปัญญาประดิษฐ์ พันธมิตรด้านเทคโนโลยี ความเป็นจริงเสมือน และเทคโนโลยีเกิดใหม่อื่น ๆอย่างรวดเร็ว เพื่อส่งมอบข้อมูลเชิงลึกและสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันให้กับลูกค้า นอกจากนี้ PwCกำลังเร่งนำผลิตภัณฑ์ทางด้านเทคโนโลยีมาใช้เพื่อช่วยสนับสนุนการทำงานร่วมกันอย่างราบรื่น และทำให้บุคลากรของ PwCสามารถทำงานร่วมกับเทคโนโลยีผ่านระบบอัตโนมัติ ซึ่งนวัตกรรมเหล่านี้จะสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าและช่วยให้เกิดข้อมูลเชิงลึกและคุณค่าใหม่ ๆเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้เป็นที่รู้จักในเอเชียแปซิฟิก

ทั้งนี้ กลยุทธ์ “สมการใหม่” จะช่วยเร่งการเติบโตของธุรกิจของ PwC ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ด้วยมูลค่าการลงทุนถึง 3พันล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วง 5 ปีข้างหน้า เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการสนับสนุนลูกค้าในภูมิภาคนี้อย่างมีนัยสำคัญถือเป็นส่วนหนึ่งของความปรารถนาที่จะเพิ่มขนาดธุรกิจให้เป็นสองเท่าภายในปี 2569 และขยายขอบเขตการเป็นผู้นำในตลาด 

ดังที่กล่าวไว้ข้างต้น PwC จะจัดตั้ง “สถาบันเอเชียแปซิฟิก” เพื่อสนับสนุนโครงการสร้างความไว้วางใจนอกเหนือไปจากการยกระดับพนักงานมากความสามารถ และโครงการพัฒนาความเป็นผู้นำในภูมิภาค

นอกจากนี้ PwC ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ยังมีแผนที่จะขยายขอบเขตการให้บริการเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญ ๆครอบคลุมประเด็นการดำเนินธุรกิจที่คำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล การเปลี่ยนองค์กรสู่ดิจิทัลการควบรวมกิจการ และการสร้างคุณค่าผ่านดีลส์ การให้ความเชื่อมั่นที่นอกเหนือไปจากงบการเงินรวมถึงการเสริมสร้างความแข็งแกร่งของศูนย์กลางการส่งมอบงานของภูมิภาค

นาย บ็อบ มอริตซ์ กล่าวต่อว่า “ในการบรรลุเป้าหมายที่ได้ตั้งไว้ เราได้ระดมทีมงานมืออาชีพที่ถูกขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีและมีความเชี่ยวชาญเชิงลึกในหลากหลายสาขา เราจะไม่หยุดนิ่งในการปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานและขยายขีดความสามารถในด้านที่มีความสำคัญสำหรับอนาคต โดยเราจะยึดมั่นในการส่งมอบงานที่มีคุณภาพอย่างไม่ลดละเพื่อตอบโจทย์ความคาดหวังทั้งของผู้ถือหุ้น ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และสังคมส่วนรวม”

ความมุ่งมั่นของ PwC ประเทศไทยในฐานะที่ PwC ประเทศไทย เป็นส่วนหนึ่งในการช่วยขับเคลื่อนกลยุทธ์ “สมการใหม่” ของเครือข่าย PwCเราจึงได้ประกาศแผนงานเพื่อตอบสนองความต้องการเฉพาะด้านของลูกค้า และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในตลาดของเรา ดังต่อไปนี้ 

1. การเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจ (Business Transformation)เราจะมุ่งเน้นการให้บริการลูกค้าที่กำลังเผชิญกับกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลกที่อาจส่งผลให้การดำเนินธุรกิจต้องตกอยู่ในภาวะชะงักงัน โดยเรามองเห็นถึงโอกาสสำคัญในการเข้าไปช่วยเหลือลูกค้าในการเปลี่ยนธุรกิจสู่ดิจิทัล เช่นการวิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูง การเปลี่ยนระบบไปสู่คลาวด์คอมพิวติ้ง การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์รวมไปถึงการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ เป็นต้น ในขณะที่เราจะยังมุ่งเน้นไปที่การดูแลบุคลากร เสริมสร้างวัฒนธรรมองค์กรและจะเข้าไปช่วยเหลือลูกค้าตั้งแต่การวางกลยุทธ์ไปจนถึงขั้นตอนการปฏิบัติงานจริงให้ประสบผลสำเร็จ

2. การสร้างคุณค่าผ่านดีลส์ (Deals value creation) เราจะมุ่งเน้นการให้บริการงานทางด้านดีลส์แบบครบวงจรตั้งแต่การให้คำปรึกษาและหาพันธมิตรทางธุรกิจที่น่าสนใจ (Pre Deal) การวางกลยุทธ์ การตรวจสอบวิเคราะห์สถานะ (Due Diligence) และการประเมินมูลค่า (Valuation)ไปจนถึงการหลอมรวมของสองกิจการให้เกิดประโยชน์ร่วมกันในทุกด้านหลังการควบรวมเสร็จสิ้น (Post-merger integration) เพื่อสร้างคุณค่าสูงสุดให้กับองค์กร ทั้งนี้ แนวโน้มที่ธุรกิจจะขยายการเติบโตผ่านการควบรวมกิจการ (Mergers and acquisitions) จะยิ่งมีมากขึ้นในระยะข้างหน้าเพราะเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่บริษัทใช้ในกาแสวงหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ ทั้งในและต่างประเทศและสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันจากคู่แข่ง  

3. การดำเนินธุรกิจที่คำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environmental, Social and Governance: ESG) เราจะมุ่งเน้นการให้บริการลูกค้าที่ต้องการวางกลยุทธ์ด้านอีเอสจีการเปิดเผยข้อมูลด้านอีเอสจีของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ต้องเปิดเผยในรายงานประจำปีรวมไปถึงการให้ความเชื่อมั่นต่อรายการเปิดเผยข้อมูลในประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG Assurance)โดยจะเข้าไปตรวจสอบตั้งแต่การวางแผน การดำเนินการ และการออกเอกสาร ในระยะต่อไป

บริษัทไทยจะไม่สามารถต้านทานกระแสโลกที่กำลังตื่นตัวในเรื่องนี้และในที่สุดก็ต้องหันมาให้ความสำคัญในการดำเนินธุรกิจตามแนวทางอีเอสจีเพิ่มมากขึ้น 

“เรานำคนที่ดีที่สุด บุคลากรที่มีความสามารถมากที่สุด อีกทั้งเทคโนโลยีที่ดีที่สุด มารวมไว้กันในการให้บริการลูกค้าซึ่งทั้งหมดจะช่วยให้เราสามารถสร้างความไว้วางใจ และส่งมอบผลลัพธ์ที่ยั่งยืนให้ธุรกิจและสังคมของพวกเขาได้” นาย ชาญชัย

ชัยประสิทธิ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท PwC ประเทศไทย กล่าวสร้าง PwC ให้แหล่งผู้เชี่ยวชาญที่ชื่นชอบการแก้ไขปัญหาความท้าทายสำคัญที่ลูกค้าและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกำลังเผชิญจะถูกแก้ไขให้ผ่านพ้นไปได้ต้องอาศัยการมีทีมผู้ให้คำปรึกษาที่มีความเป็นมืออาชีพจากหลากหลายสาขา ด้วยเหตุนี้ PwCจึงตอกย้ำความมุ่งมั่นเดิมเป็นสองเท่าในการดึงดูดและเตรียมความพร้อมให้กับคนของเราเพื่อตอบสนองความต้องการนี้โดยเราจะผนวกความรู้ ความสามารถของบุคลากรเข้ากับการทำงานร่วมกับเทคโนโลยีเพื่อส่งมอบผลลัพธ์ที่ยั่งยืนพร้อมสร้างความไว้วางใจให้เกิดขึ้นตลอดห่วงโซ่คุณค่า

PwC จะดึงดูดบุคลากรมากความสามารถอย่างต่อเนื่อง ผ่านการสนับสนุนการปฏิบัติงานที่มีความยืดหยุ่น

และสามารถทำงานจากที่ไหนก็ได้ รวมไปถึงความมุ่งมั่นในการยกระดับทักษะให้กับบุคลากรของเรา 

สำหรับแผนการรับตำแหน่งงานใหม่จำนวน 100,000 ราย เครือข่าย PwCจะมุ่งเน้นไปที่การสรรหาบุคลากรที่มความเชี่ยวชาญในด้านใหม่ ๆ ตั้งแต่อีเอสจี ไปจนถึงเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ นอกจากนี้ PwCจะว่าจ้างบุคลากรในระดับเริ่มต้นมากกว่า 30,000 รายในแต่ละปีและจะให้การฝึกฝนอบรมเพื่อเตรียมความพร้อมและคุณสมบัติที่จำเป็นให้พนักงานได้มีเส้นทางความก้าวหน้าในสายอาชีพไม่ว่าจะปฏิบัติงานที่ PwC หรือที่อื่น ๆ ต่อไปในอนาคต

นาย บ็อบ มอริตซ์ กล่าวว่า “เราต้องการให้บุคลากรของเราเป็นคนที่ตลาดต้องการตัวมากที่สุด เพราะมีทั้งทักษะทางด้านเทคนิค ดิจิทัลและสามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ดี ซึ่งทักษะเหล่านี้มีความจำเป็นต่อการสร้างความไว้วางใจและส่งมอบผลลัพธ์ที่ยั่งยืนเรามีความภาคภูมิใจที่มีคนจำนวนมากเริ่มต้นการทำงานที่ PwC ก่อนที่จะก้าวต่อไปที่อื่นโดยเรายังคงมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมการฝึกอบรมและการพัฒนาในด้านต่าง ๆ สำหรับผู้นำธุรกิจรุ่นใหม่ต่อไป”

สำหรับ PwC ประเทศไทย เราจะขยายโอกาสในการสร้างความหลากหลายและสนับสนุนความแตกต่างของพนักงานภายในองค์กร(Diversity and Inclusion: D&I) ทั้งในด้านเพศ อายุ เชื้อชาติ ศาสนา และวัฒนธรรม เพราะเราเชื่อมั่นว่าความแตกต่างหลากหลายจะนำไปสู่ความคิดสร้างสรรค์ใหม่ ๆซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนภารกิจของเราให้ไปสู่เป้าหมายที่กำหนดไว้ นอกจากนี้เราจะให้ความสำคัญอย่างมากในการนำเทคโนโลยีและเครื่องมือในการทำงานที่ทันสมัยเข้ามาช่วยสนับสนุนการทำงานของบุคลากรในช่วงการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 รวมทั้งบริหารจัดการทรัพยากรให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด

ในขณะเดียวกัน เรายังคงมุ่งมั่นในการยกระดับทักษะด้านดิจิทัล (Digital upskilling) และเสริมทักษะเดิมที่มีอยู่ (Reskilling)ของพนักงาน เช่น ทักษะด้านคลาวด์คอมพิวติ้ง การวิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูง และทักษะทางสังคมอื่น ๆ ซึ่งทักษะเหล่านี้จะยิ่งเป็นที่ต้องการอย่างมากในอนาคต ส่งมอบอนาคตสังคมปลอดคาร์บอน และเพิ่มความโปร่งใส

นอกจากนี้  ในปีที่ผ่านมาเครือข่าย PwCทั่วโลกยังได้ตั้งปณิธานร่วมกันในการบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้เป็นศูนย์ภายในปี 2573ซึ่งนำไปสู่การเปลี่ยนรูปแบบทางธุรกิจเพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซต์ในวงจรห่วงโซ่คุณค่าและการบรรลุเป้าหมายเฉพาะในการลดก๊าซเรือนกระจกตามฐานวิทยาศาสตร์ 1 (Science-based target initiative: SBTi) ทั้งนี้

บริษัทเครือข่ายของ PwC ในแต่ละแห่งทั่วโลก ยังได้แต่งตั้งหัวหน้าสายงานการลดคาร์บอนสุทธิให้เป็นศูนย์ (Net Zero)เพื่อขับเคลื่อนความคืบหน้าของแผนงานในแต่ละประเทศยิ่งไปกว่านั้น PwC ยังได้เพิ่มความโปร่งใสในการดำเนินงานในเรื่องนี้ ผ่านการจัดทำรายงานบนพื้นฐานตัวชี้วัดของสภาธุรกิจนานาชาติและสภาเศรษฐกิจโลก (World Economic Forum/International Business Council) รวมไปถึงคำแนะนำของสภาธุรกิจโลกเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน (World Business Council on SustainableDevelopment) อีกด้วย

นาย บ็อบ มอริตซ์ กล่าวต่อว่า “ผู้มีส่วนได้เสียจากทุกภาคส่วนของสังคมต้องทำงานร่วมกันเพื่อแก้ไขปัญหาที่กำลังขยายวงกว้างไม่ว่าจะเป็นการระบาดใหญ่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ความไม่เท่าเทียมกันในสังคม หรือแม้กระทั่งความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัล ซึ่งกลยุทธ์ใหม่ของเราคือการช่วยเหลือลูกค้าให้สามารถจัดการกับความท้าทายที่ยากยิ่ง และส่งมอบผลลัพธ์ที่ยั่งยืนให้กับสังคมและโลกใบนี้”