In News

พ่อเหยื่อวัคซีนมรณะมั่นใจบุตรชายสิ้นลม จากรับวัคซีนไขว้



ฉะเชิงเทรา -ญาติเหยื่อวัคซีนมรณะ มั่นใจบุตรชายสิ้นลมจากการได้รับวัคซีนแบบไขว้เข็ม วอนหน่วยงานรับผิดชอบเมตราให้การช่วยเหลือ เผยเป็นคนจิตใจดีช่วยเหลือญาติพี่น้องและคนในสังคมมาตลอด ก่อนติงกระบวนการวินิจฉัยโรค ที่ไม่ระบุชัดเจนหรือมีความแน่นอน

วันที่ 26 ก.ย.64 เวลา 09.30 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายวีระ กุหลาบศรี อายุ 66 ปี อยู่บ้านเลขที่ 99/4 ม.1 ต.ท่าไข่ อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา ผู้เป็นบิดาของ นายอนุรักษ์ กุหลาบศรี อายุ 35 ปี หนุ่มวัยฉกรรจ์รูปร่างสูงใหญ่และมีร่างกายแข็งแรง ไม่เคยมีประวัติการเจ็บป่วยมาตลอดทั้งชีวิต ทั้งยังมีการตรวจสุขภาพประจำปีมาโดยตลอดในทุกๆ ปี แต่ได้มีอาการล้มป่วยกลายเป็นเจ้าชายนิทราลง หลังจากได้รับวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 เข็มที่ 2 แบบไขว้เข็ม

จากวัคซีนซิโนแวคมาเป็นแอสตร้าเซเนก้า จนทำให้ญาติเชื่อว่าเป็นผลข้างเคียง มาจากการรับวัคซีนลักษณะดังกล่าวจนทำให้เสียชีวิตลงนั้น กล่าวเปิดเผยต่อผู้สื่อข่าวว่า ในระหว่างที่บุตรชายของตนถูกส่งเข้าไปรับการรักษายังที่ รพ.พุทธโสธร ตนได้พยายามที่จะสอบถามจากทางแพทย์ผู้ทำการรักษาแล้วว่า บุตรชายของตนนั้นป่วยจากสาเหตุอะไร แต่เขาก็ไม่ยอมตอบให้เกิดความชัดเจน ได้แต่ตอบแบบเลี่ยงๆ ไปมาว่าเป็นโรคนี้บ้าง โรคโน้นบ้าง เดี๋ยวบอกเป็นเชื้อไวรัสเกี่ยวกับวัณโรคขึ้นสมองบ้าง ต่อมาบอกว่าไม่ใช่เชื้อตัวนี้อีกแล้ว

หลังจากได้พูดคุยกันในกลุ่มของพวกแพทย์ในอีก 2-3 วันต่อมา บอกอีกว่าเป็นเชื้อไวรัสอีกอย่างแต่ไม่ทราบชื่อ จึงให้ยาคุมเชื้อไวรัสไว้ จากนั้นอีกไม่กี่วันก็มาบอกว่า ค้นพบจากการวินิจฉัยว่าเป็นโรคเกี่ยวกับเชื้อแบคทีเรียลงปอด กลายเป็นว่ามีหลายโรคเหลือเกินที่เข้ามาอยู่ในบุตรชายของตน แต่สาเหตุหลักแล้วตนเองมั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าที่บุตรชายของตนนั้น เสียชีวิตจากการฉีดวัคซีน ที่ไปทำลายระบบสมองจนสมองตาย ระบบอวัยวะภายในร่างกายล่มสลาย เกิดความสูญเสียหมดทุกอย่าง

การวินิจฉัยโรคไม่แน่นอน ซึ่งตนคิดว่าแพทย์คงรู้ว่าลูกของตนตายเพราะสาเหตุอะไร แต่อาจจะบอกกับเราไม่ได้ หากเป็นโรคแต่ละโรคที่ว่ามานั้น อวัยวะต่างๆของร่างกายก็คงจะไม่สูญเสียถึงขนาดนี้ และขอยืนยันว่าบุตรชายของตนไม่เคยเป็นโรคอะไรมาก่อนเลย มีการตรวจสุขภาพเป็นประจำในทุกๆปี ทั้งความดันปกติ ไขมัน น้ำตาลในเลือดไม่มีทั้งนั้นทุกอย่างปกติ เป็นคนที่มีร่างกายแข็งแรง แต่ไปอยู่ภายใน รพ.เพียงไม่กี่วัน ก็ต้องนอนหลับกลายเป็นเจ้าชายนิทรานอนแบบไม่รู้สึกตัวอะไรเลย

โดยบุตรชายของตนนั้น ได้เข้าไปรับวัควีนแบบไขว้เข็มที่ 2 มาได้ประมาณ 7 วัน เมื่อวันที่ 19 ส.ค.64 พอเข้าสู่ช่วงเช้าของวันที่ 8 ในวันที่ 26 ส.ค.64 เริ่มมีอาการปวดศีรษะเวียนศีรษะ ต่อมาในช่วงบ่ายความจำเริ่มสับสนจำอะไรไม่ได้ แม้แต่ชื่อพ่อแม่ยังจำสับสน และหลังจากได้เข้าไปยัง รพ.พุทธโสธร เมื่อเวลาประมาณ 17.00 น. ของวันที่ 26 ส.ค.64 เพียง 2-3 วัน ก็ต้องกลายเป็นเจ้าชายนิทรานอนหลับยาวโดยที่ไม่รู้สึกตัวอะไรเลยมาเกือบตลอดเดือน ก่อนที่จะสิ้นใจลงในเวลา 23.44 น. ของคืนวันศุกร์ที่ 24 ก.ย.64

จึงทำให้ตนเชื่อแน่ได้เลยว่าสาเหตุที่ทำให้บุตรชายของตนต้องเสียชีวิตลงนั้น มาจากการฉีดวัคซีนแบบไขว้เข็ม จากซิโนแวคมาเป็นแอสตร้าเซเนก้า 100 เปอร์เซ็นต์ จึงอยากจะขอร้องให้หน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบในการฉีดวัคซีน ถ้ามีจิตเมตรากรุณาต่อครอบครัวที่ต้องสูญเสีย ก็ควรจะออกมารับผิดชอบบ้าง ที่ต่อไปคนในครอบครัวที่ยังเหลืออยู่อีก 3 ชีวิตจะต้องต่อสู้กันไปแต่เพียงตามลำพัง เพราะขาดผู้นำของครอบครัวไป

อีกทั้งลูกก็ยังเล็กๆ และลูกคนที่ 2 ก็เพิ่งจะคลอดออกมาได้แค่เพียง 5 วัน ก่อนที่ผู้เป็นพ่อจะมาเสียชีวิตลง ตายจากไป จึงอยากจะขอความกรุณาไปถึงยังผู้ที่รับผิดชอบให้เข้ามาให้การช่วยเหลือบ้าง ส่วนจะช่วยเหลือหรือไม่ก็คงอยู่ที่เขา โดยที่ตนออกมาพูดทั้งหมดนั้นเป็นการพูดตามที่ตนเห็น เพราะลูกชายตนไม่ได้เจ็บป่วย ไม่ได้มีเชื้อโรคอะไรเข้ามาแทรกซ้อนทั้งสิ้น แต่เป็นผลที่เกิดจากการฉีดวัคซีนโดยตรง

เมื่อถูกถามว่ายากจะบอกไปถึงยังหน่วยงานที่จัดสรรชนิดของวัคซีนให้ประชาชนฉีด หรือรัฐบาลอย่างไรบ้าง เมื่อเกิดเหตุวัคซีนมีผลข้างเคียงเช่นนี้ขึ้นมา นายวีระ ตอบว่า ตนไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไร แต่ผลข้างเคียงหรือผลเสียนั้นก็คงจะมาจากการฉีดไขว้เข็มนี่แหละ ที่อาจจะเป็นสาเหตุใหญ่จากการฉีดไขว้ที่เอาวัคซีนสองชนิดมารวมกัน ถ้าเป็นชนิดใดชนิดหนึ่งก็คงอาจไม่เป็นอันตรายถึงขั้นนี้

จึงอยากวิงวอนว่า สำหรับครอบครัวผู้สูญเสีย หากช่วยเหลือเยียวยาได้ ก็โปรดช่วยเหลือเขาด้วย เงินเดือนที่เคยได้แม้เพียงน้อยนิด แต่ได้นำมาใช้เลี้ยงครอบครัว เลี้ยงลูกเลี้ยงเมีย แล้วยังต้องมาตายจากกันไปอีก จะเกิดความบอบช้ำต่อจิตใจของลูกเมียเขาขนาดไหน เพราะเขาเป็นคนไม่เที่ยวกลางคืนไม่ดื่มกิน จะมีดื่มสังสรรค์บ้างเพียงนานๆ ครั้ง เพราะเขาเป็นคนดีที่สุดทั้งห่วงลูกเมีย ห่วงพ่อแม่ ตลอดจนญาติพี่น้องหมดทุกคน เราอยู่กันอย่างอบอุ่น แล้วดูสิครับต้องมาเป็นแบบนี้ 

ที่ผ่านมาเขามักจะเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กับทุกคน แต่ก็ต้องมาได้รับผลกรรมที่เป็นแบบนี้ มันไม่ยุติธรรมต่อเขาเลย แม้แต่เขาได้ดูในรายการโทรทัศน์ ได้เห็นคนที่กำลังเดือดร้อน เขายังได้ร่วมบริจาคโอนเงินไปช่วยเหลือตามแรงศรัทธาที่เขามีให้ต่อผู้คนในสังคม ต่อหน่วยงานการกุศลอยู่บ่อยครั้ง แม้จะไม่ได้มากมายอะไรเพียงครั้งละ 100-200 บาท แต่เขาก็ทำอยู่เป็นประจำ มันจึงเป็นเหตุที่สะเทือนใจตนมาก ในหัวอกของคนเป็นพ่อเป็นแม่ ที่ต้องมาสูญเสียลูกไปทั้งที่อายุยังน้อยแค่เพียง 35 ปีเท่านั้น จึงขอฝากเอาไว้เพียงเท่านี้ นายวีระ กล่าว

สนทะนาพร อินจันทร์/ฉะเชิงเทรา