In News

ชาวบ้านก้มกราบพื้นดินวอนถึง‘นายกฯลุงตู่’ ช่วยเหลือ



ราชบุรี - ชาวบ้านก้มกราบพื้นดิน วอนถึง"นายกฯตู่"ช่วยเหลือ หลังที่ดินและบ้านถูกน้ำกัดเซาะตลิ่งพังดินถล่มเสียหายกว่า 2,000 ไร่ บางรายสิ้นเนื้อประดาตัวไม่เหลือแม้ที่ดินทำกิน

วันที่ 4 ต.ค.64 ผู้สื่อข่าวได้รับเรื่องร้องเรียนจากชาวบ้านหมู่ที่ 10 ต.ด่านทับตะโก อ.จอมบึง จ.ราชบุรี ว่าให้เป็นสื่อกลางประสานถึง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หลังชาวบ้านหมู่ที่ 2, 3, 5, 9, 10, 14, 15, และหมู่ที่ 17 รวมร้อยกว่าครัวเรือน ที่มีพื้นที่การเกษตรและบ้านเรือนอยู่ใกล้ริมแม่น้ำภาชี ถูกกระแสน้ำในแม่น้ำกัดเซาะจนตลิ่งพังดินถล่มหายไปกับสายน้ำเสียหายกว่า 2,000 ไร่ บางรายถึงขนาดต้องย้ายออกจากหมู่บ้าน เพราะพื้นที่การเกษตรที่ปลูกพืชผลไว้ ถูกกระแสน้ำกัดเซาะตลิ่งพังหายไปหมด จนไม่เหลือที่ดินทำกิน ซึ่งชาวบ้านที่อยู่ใกล้แม่น้ำลำภาชีได้รับความเดือนร้อนมากว่า 20 ปีแล้ว และคาคว่า หากไม่ได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง อาจมีพื้นที่ที่ถูกน้ำกัดเซาะจนตลิ่งพังดินถล่มหายอีกกว่า 3,000 ไร่

ซึ่งที่ผ่านมาทางกำนัน ต.ด่านทับตะโก ผู้ใหญ่บ้าน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ทำเรื่องถึงทางอบต.ด่านทับตะโก พร้อมได้ดำเนินการแก้ไขปัญหา แต่หลังเกิดฝนตกหนักทุกครั้ง พื้นที่ดังกล่าวก็ยังเกิดกระแสน้ำกัดเซาะตลิ่งพังดินถล่ม จนพื้นที่เพาะปลูกการเกษตรของชาวบ้านและบ้านเรือนได้รับความเสียหาย จนชาวบ้านหมดหนทางจึงได้รวมตัวกันร้องเรียนผ่านสื่อ "ก้มกราบพื้นดิน ร้องขอให้นายกฯลุงตู่ เข้ามาช่วยเหลือชาวบ้าน" เพราะงบในการแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง ต้องใช้งบประมาณเป็นจำนวนมาก

นางทองสาย เปลี่ยนเพ็ง อายุ 66 ปี ชาวบ้านที่ได้รับความเดือดร้อน ได้เป็นตัวแทนชาวบ้านก้มกราบพื้นดิน วอนถึงท่านนายกรัฐมนตรี พร้อมกล่าวว่า เธอและชาวบ้านในพื้นที่ ต.ด่านทับตะโก รักนายกลุงตู่เป็นอย่างมาก และวอนขอให้ท่านนายกฯมาดูความเดือดร้อนของพวกชาวบ้าน อยากให้เข้ามาช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน เพราะพื้นที่ของชาวบ้านถูกกระแสน้ำพังจนจะไม่มีที่ทำกินแล้ว เธอขอกราบพระสยามเทวาธิราช พระแม่ธรณี นายกรัฐมนตรี โปรดเมตตาชาวบ้านยากจนด้วย ถ้านายกฯไม่ช่วย ชาวบ้านจะหมดที่ทำกินและไม่รู้จะไปอยู่ที่ไหน ถ้านายกฯไม่เอื้อมมือมาช่วยเหลือ เธอและชาวบ้านก็ไม่รู้ว่าใครจะมาช่วยเหลือได้ เพราะน้ำมันมากัดเซาะทุกๆ ปี จนทุกวันนี้ชาวบ้านต้องกินข้าวกับเกลือละลายน้ำอยู่แล้ว

ด้าน น.ส.น้ำอ้อย เปลี่ยนเพ็ง 45 ปี ชาวบ้านที่ได้รับความเดือดร้อน กล่าวว่า ที่ดินของตนจากมี 50 ไร่ แต่ปัจจุบันโดนน้ำกัดเซาะหายไปจนเหลือ 30 ไร่ ทุกครั้งที่มีพายุเข้าฝนตกติดกันหลายๆวัน น้ำในแม่น้ำภาชีจะไหลมาแรง และน้ำจะไหลเซาะตลิ่งทำให้เนื้อที่ดินของตนหายไปเรื่อยๆ จนบ้านของตนหลังเก่าก็พังหายไปด้วย ตนกลัวว่าถ้าปล่อยให้น้ำกัดเซาะชายตลิ่งไปเรื่อยๆ ตนและชาวบ้านจะไม่เหลือที่ดินให้ลูกหลานทำกิน

ซึ่งพื้นที่บริเวณนี้ยังมีชาวบ้านที่ได้รับความเดือดร้อนอีกหลายหลังคาเรือน บางรายต้องย้ายออกจากที่ดินของตัวเอง เพราะเกรงว่าจะได้รับอันตราย และบางครอบครัวถึงขนาดหมดที่ทำกินจากการที่น้ำกัดเซาะตลิ่งพังเข้ามาเรื่อยๆ อยากฝากถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เข้ามาดูแลชาวบ้านบ้าง ทำอย่างไรก็ได้ให้น้ำมันไม่เข้ามากัดเซาะเอาที่ดินของพวกตนไปจนหมด ที่ผ่านมา 20 กว่าปีตนก็ทำเรื่องร้องเรียนไปตามขั้นตอน ทั้งผู้ใหญ่บ้าน กำนันตำบล แต่ก็ยังไม่ได้รับการช่วยเหลืออย่างจริงจังสักที

ส่วน นายจรูญ สมรูป อายุ 75 ปี ชาวบ้านอีกราย กล่าวว่า ตนได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก นอนก็นอนไม่ได้ กลัวน้ำมันจะกัดเซาะที่ดินและบ้านจะพังลงไป ซึ่งตนเคยเห็นเพื่อนบ้าน โดนน้ำกัดเซาะจนบ้านพังหายไปทั้งหลัง ส่วนที่ดินของตนที่มีทั้งหมด 22 ไร่ ตอนนี้โดนกัดเซาะไปแล้ว 11 ไร่กว่า จึงอยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เขามาลงพื้นที่ตรวจสอบดูว่า พอจะทำฝายกั้นน้ำ หรือทำแนวกั้นตลิ่งได้หรือไม่ จะได้ลดความแรงของน้ำและลดตลิ่งพังได้

ขณะที่ นายชัยโย เปลี่ยนเพ็ง ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 10 เปิดเผยว่า ชาวบ้านที่อยู่ใกล้ริมแม่น้ำภาชี เฉพาะในหมู่ที่ 10 รวม 30 หลังคาเรือน ได้รับความเดือดร้อนถูกกระแสน้ำกัดเซาะที่ดินจนหายไปกว่า 500 ไร่ ซึ่งเป็นแบบนี้มานานกว่า 20 ปีแล้ว ที่ผ่านมาตนได้ส่งเรื่องเข้า อบต.ด่านทับตะโก และได้มีการแก้ไขไปแล้วบางจุด แต่พอมีฝนตกหนักชาวบ้านก็ยังได้รับความเดือดร้อนเสียหายเหมือนเดิมทุกครั้ง ซึ่งที่ดินของชาวบ้านได้พังถล่มหายไปเรื่อยๆ เท่าที่ตนได้สำรวจตอนนี้มีพื้นที่ที่มีแนวโน้มว่าจะเสียไปอีกคือตอลดแนวฝั่งรวมๆเกือบ 1,000 ไร่ จึงอยากฝากถึงท่าน นายกอบจ.ราชบุรี ช่วยประสานงานช่วยเหลือประชาชน ในการเปลี่ยนทิศทางน้ำ หรือสร้างแนวกั้นน้ำก็ได้ เพราะตอนนี้ชาวบ้านจะหมดที่ทำกินแล้ว

ขณะเดียวกัน น.ส.ศิริลักษณ์ ตันงามตรง  สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด เขต 2 อ.จอมบึง ได้ลงสำรวจพื้นที่ความเสียหายของชาวบ้านทั้ง 8 หมู่บ้าน ที่ได้รับความเดือดร้อนที่ดินการเกษตรถูกกระแสน้ำกัดเซาะตลิ่งพัง พร้อมเปิดเผยหลังลงสำรวจพื้นที่ว่า หลังมีชาวบ้านจำนวน 30 หลังคาเรือน มาร้องเรียนปรึกษาว่า ที่ดินถูกกระแสน้ำกัดเซาะพังถล่ม จนที่ดินและพื้นที่เพาะปลูกการเกษตรได้รับความเสียหาย บางบ้านมีแต่โฉนดแต่ที่ดินโดนน้ำกัดเซาะหายไปจนหมด รวมแล้วประมาณ 500 กว่าไร่ ซึ่งถ้ายังไม่มีการดำเนินการแก้ไขอาจจะมีการเสียหายมากไปกว่านี้

ซึ่งเบื้องต้นตอนนี้ตนได้ดำเนินการลงพื้นที่สำรวจความเสียหาย พร้อมได้แจ้งเรื่องไปยังท่านนายกอบจ.ราชบุรีแล้ว ท่านได้มอบหมายให้สจ.ในพื้นที่ลงพื้นที่ตรวจสอบอย่างละเอียด และรายงานผลตรวจสอบเข้าไปอย่างเร่งด่วน เพื่อวางแผนให้การช่วยเหลือชาวบ้านอย่างเร่งด่วนเช่นเดียวกัน

สุจินต์ นฤภัย / ราชบุรี