Biz news

PwC ประเทศไทยชี้ Hybrid working เทรนด์ของโลกการทำงานปี 65



กรุงเทพ-PwC ประเทศไทยชี้รูปแบบการทำงานแบบไฮบริดจะกลายเป็นเทรนด์การทำงานรูปแบบใหม่ขององค์กรไทยในปีนี้แต่การมีระบบการวัดผลงานที่โปร่งใส บนพื้นฐานของความไว้วางใจระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง ยังคงเป็นความท้าทายหลักแนะผู้บริหารนำเทคโนโลยีมาช่วยวางแผนจัดการกำลังคน รวมทั้งต้องอัพสกิลทักษะของพนักงานอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ทำงานร่วมกับเทคโนโลยีได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ดร. ภิรตา ภักดีสัตยพงศ์ หุ้นส่วนสายงานที่ปรึกษา บริษัท PwC ประเทศไทย เปิดเผยว่าปัจจุบันธุรกิจไทยหลายรายกำลังใช้รูปแบบการทำงานแบบไฮบริด (Hybrid working)หรือการทำงานที่พนักงานไม่ต้องเข้ามาปฏิบัติงาน ณ สถานที่ทำงานทุกวัน อย่างแพร่หลายโดยอาจผสมผสานการทำงานจากที่บ้าน (Work from home) หรือจากที่ไหนก็ได้ กับการทำงานในออฟฟิศเข้าด้วยกันซึ่งสามารถช่วยลดความแออัดของพื้นที่ได้ถึง 25-50% และยังแสดงให้เห็นว่า ธุรกิจยังสามารถดำเนินกิจการต่อไปได้แม้จะได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 

“การทำงานแบบ Hybrid ค่อนข้างได้ผลโดยธุรกิจส่วนใหญ่เน้นการสื่อสารถึงวัตถุประสงค์และผลลัพธ์ของการทำงานที่คาดหวังอย่างชัดเจนขึ้นอยู่กับลักษณะขององค์กรและลักษณะของงาน เช่น กลุ่มแบงก์ ที่บางแผนกสามารถทำงานจากที่บ้านได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ เช่น riskmanagement แต่บางแผนก อย่าง คอลเซ็นเตอร์ ก็อาจยังจำเป็นต้องเข้าออฟฟิศอยู่ ซึ่งรูปแบบการทำงานประเภทนี้ช่วยลดความแออัดลงได้ถึง 25-50% เพราะมีการเปลี่ยนเวรกันเข้าออฟฟิศโดยที่ผลงานไม่ได้ตก” ดร. ภิรตา กล่าวแนวโน้มดังกล่าว ยังสอดคล้องกับรายงาน Future of Work and Skills Survey ของ PwCซึ่งได้ทำการสำรวจผู้บริหารและพนักงานฝ่ายทรัพยากรบุคคล จำนวนเกือบ 4,000 รายจาก 26ประเทศถึงความท้าทายของโลกแรงงานและรูปแบบการทำงานในอนาคตพบว่า 57% ของผู้ตอบแบบสำรวจกล่าวว่าองค์กรมีประสิทธิภาพของแรงงานและเป้าหมายผลผลิตที่ดีขึ้นในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมาหลังเปลี่ยนรูปแบบการทำงานมาเป็นแบบไฮบริด ในขณะที่มีเพียงแค่ 4% ที่กล่าวว่าองค์กรของตนมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลของงานที่ด้อยลงวัดกันที่ผลของงาน

ดร. ภิรตา กล่าวเสริมว่า หลายองค์กรยังได้หันมาใช้วิธีการประเมินผลงานของพนักงานที่แตกต่างไปจากเดิม เช่นมีการนัดประชุมเพื่อทักทายและติดตามผลงานบ่อยครั้งขึ้น เช่น จัดให้มี stand up meeting ทุกวัน หรือหากเกิดปัญหาอะไรก็สามารถปรึกษาหัวหน้างานได้ทันที ซึ่งตอบโจทย์ความต้องการและพฤติกรรมของคนทำงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กลุ่มเจนวาย(Generation Y) ซึ่งถือเป็นแรงงานส่วนใหญ่ของหลายองค์กรในปัจจุบันอย่างไรก็ดี การประเมินผลงานของพนักงาน ยังคงเป็นความท้าทายที่สำคัญสำหรับองค์กรและพนักงานเนื่องจากต้องมีระบบการวัดผลที่โปร่งใส บนพื้นฐานของความไว้วางใจระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง 

“การทำงานแบบไฮบริดจะต้องมีการสื่อสารและวัดผลตามที่ตรงไปตรงมา โดยการวัดแบบ ขาด ลา มาสายแบบเดิมจะใช้ไม่ได้แล้วแต่ควรมุ่งเน้นไปที่การกำหนดเป้าหมายงานรายบุคคลให้ชัดเจน และสอดคล้องกับเป้าหมายขององค์กร ในขณะเดียวกันหัวหน้างานที่จะต้องประเมินผลงานควรดูที่ผลงาน และเปลี่ยน mindset จากการจับผิดมาเป็นให้ความช่วยเหลือหรือคำปรึกษาในกรณีที่เกิดการติดขัด เพื่อให้ผลลัพธ์เป็นไปตามเป้าหมายขององค์กร” เธอ กล่าววางแผนกำลังคนด้วยการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี

ดร. ภิรตา กล่าวว่า การวางแผนกำลังคน (Workforce planning) กำลังได้รับความนิยมในช่วงที่ผ่านมาโดยหลายองค์กรนำเทคโนโลยีมาใช้เป็นส่วนหนึ่งในการวางแผนจัดการกำลังคน ซึ่งสามารถทำได้หลากหลายวิธีตั้งแต่การสร้างคนจ้างภายนอก ยืม และระบบอัตโนมัติ (Build, buy, borrow and bot) ซึ่งองค์กรจะต้องเข้าใจก่อนว่าต้องการบุคลากรเท่าไหร่ต่อประเภทของงานนั้น ๆ หรือใช้เทคโนโลยีทดแทนได้หรือไม่หรืองานไหนที่สามารถเอาท์ซอร์สได้บ้างเพื่อเพิ่มความคล่องตัวให้กับแรงงานขององค์กรแม้ว่าเทคโนโลยีดิจิทัลจะเข้ามามีบทบาทสำคัญและส่งผลกระทบต่อระบบการทำงานของธุรกิจอย่างเห็นได้ชัดแต่องค์กรจำเป็นที่จะต้องยกระดับทักษะ (Upskilling) ของพนักงานที่มีอยู่อย่างต่อเนื่องเพื่อให้พวกเขาสามารถทำงานร่วมกับเทคโนโลยีได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดร. ภิรตา กล่าว

“หลาย ๆ องค์กรในไทยไม่ได้เน้นที่จะเอาเทคโนโลยีมาทดแทนคน เนื่องจากต้นทุนแรงงานคนยังไม่สูงมาก แต่ในอีกไม่เกิน 3-5 ปีเราคงได้เห็นแน่ ๆ ว่า ความต้องการบุคลากรจะเปลี่ยนไป คือจะต้องเน้นทักษะด้านการวิเคราะห์หรือทักษะเฉพาะทางด้านดิจิทัลมากขึ้น เช่น การวิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูง วิธีคิดแบบดิจิทัล และการทำการตลาดผ่านสื่อดิจิทัลรวมถึงความต้องการผู้เชี่ยวชาญข้อมูลขนาดใหญ่และผู้เชี่ยวชาญทางด้านเอไอและแมชชีนเลิร์นนิ่งจะยิ่งมีมากขึ้น” เธอ กล่าวนอกเหนือจากองค์กรและฝ่ายทรัพยากรบุคคลที่ต้องเร่งพัฒนาทักษะให้แก่พนักงานแล้ว ในส่วนของพนักงานก็ต้องแสดงความรับผิดชอบในการพัฒนาทักษะการเรียนรู้ของตัวเอง รวมทั้งเปิดใจรับการเข้ามาของเทคโนโลยีใหม่ ๆเพื่อก้าวข้ามการเปลี่ยนแปลงไปได้อย่างราบรื่น 

“ปี 2565 ยังคงเป็นปีที่ธุรกิจไทยต้องเผชิญกับความท้าทายอย่างมากเพราะอุตสาหกรรมทุกกลุ่มต้องปรับตัวด้วยกันทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็นการนำนโยบายการทำงานแบบไฮบริดมาใช้เพื่อให้ธุรกิจสามารถดำเนินต่อไปได้ และการยกระดับทักษะของพนักงาน ดังนั้น การเตรียมความพร้อม ควรเริ่มทำตั้งแต่ตอนนี้เพื่อให้องค์กรรักษาข้อได้เปรียบทางการแข่งขันและเติบโตอย่างยั่งยืน” ดร. ภิรตา กล่าว