Biz news

PwCรุกงานธุรกิจที่ปรึกษาในตลาดAEC ชี้ตลาดไทยมีศักยภาพในการเติบโตสูง



กรุงเทพฯ-เมื่อ14 กุมภาพันธ์ 2565 – สายงานธุรกิจที่ปรึกษาของ PwC ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เตรียมรุกบริการธุรกิจที่ปรึกษาแบบครบวงจรแก่ลูกค้าในภูมิภาค หลังมองเห็นศักยภาพในการเติบโตของตลาดไทยที่อยู่ในระดับสูงนาย ไซมอน เกลี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร PwC South East Asia Consulting เปิดเผยว่าการส่งมอบบริการที่ปรึกษาแบบครบวงจร ถือเป็นกลยุทธ์หลักที่สำคัญสำหรับงานที่ปรึกษาของ PwCในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  โดยจะมุ่งเน้นไปที่การช่วยเหลือลูกค้าให้บรรลุเป้าหมายการเติบโตทางธุรกิจอย่างยั่งยืนในปีนี้

“สิ่งที่เราต้องการส่งมอบออกสู่ตลาดคือ การให้บริการธุรกิจที่ปรึกษาแบบครบวงจร ตั้งแต่การวางแผนกลยุทธ์ไปจนถึงการปฏิบัติ”นาย เกลี กล่าว

“ด้วยการทำงานอย่างใกล้ชิดกับทีมงานในสายงานอื่น ๆ ทั้งสายงานตรวจสอบบัญชี ภาษี และดีลส์จะช่วยให้ลูกค้าของเราสามารถบรรลุผลลัพธ์ที่ธุรกิจและลูกค้าของพวกเขาต้องการได้” เขา กล่าวเมื่อเร็ว ๆ นี้ นาย เกลี ได้ย้ายจากประเทศสิงคโปร์มาประจำการ ณ ประเทศไทย เป็นระยะเวลาสามปีเพื่อขยายสายงานที่ปรึกษาของ PwC ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ให้เติบโต โดยนาย เกลี จะทำงานกับหัวหน้าสายงานอื่นๆ อย่างใกล้ชิด เพื่อส่งมอบผลลัพธ์แบบครบวงจรให้แก่ลูกค้าที่ดำเนินกิจการในตลาดไทย

“ประเทศไทยมีศักยภาพเติบโตที่โดดเด่น” นาย เกลี กล่าว “การที่ผมตัดสินใจย้ายสำนักงานใหญ่ของเรามาที่กรุงเทพฯเพราะเห็นถึงศักยภาพทางเศรษฐกิจที่โดดเด่นและสายงานธุรกิจที่ปรึกษาในประเทศไทยเองก็เป็นที่ยอมรับใน PwC”

สำหรับการขยายธุรกิจ นาย เกลี กล่าวว่า ตนมีแผนที่จะนำนวัตกรรมและแพลตฟอร์มที่ตรงกลุ่มเป้าหมายออกสู่ตลาดมากขึ้นเพื่อช่วยเสริมงานที่ปรึกษาทั้งในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

“เราให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนสู่ดิจิทัลขององค์กรและความยั่งยืน ซึ่งปัจจัยทั้งคู่ถือเป็นส่วนหนึ่งของสมการที่ไม่แยกจากกันนั่นหมายความว่า ที่ปรึกษาของเราทุกคนจะต้องคำนึงถึงเรื่องดังกล่าวทุกครั้งที่ทำการให้คำปรึกษาแก่ลูกค้า” นาย เกลี กล่าว

“เราจะต้องยกระดับทักษะทางด้านดิจิทัลให้แก่บุคลากรในสายงานที่ปรึกษาของเราทั้งหมดเพื่อให้พวกเขาสามารถเข้าสู่ตลาดบริการด้านเทคโนโลยีและทำงานร่วมกับพันธมิตรของเราเพื่อช่วยให้ลูกค้าบรรลุผลลัพธ์แบบครบวงจร

นี่คือความปรารถนาของผมที่จะขยายสายงานที่ปรึกษาในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” เขา กล่าว

ทั้งนี้ สายงานธุรกิจที่ปรึกษาของ PwC มุ่งเน้นไปที่การตอบสนองความต้องการของลูกค้า การสร้างความไว้วางใจและการแก้ไขปัญหา ซึ่งโฟกัสทั้งหมดที่กล่าวมา จะถูกเสริมให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นกว่าเดิมหลังจากการย้ายมาประจำการ ณประเทศไทยของนาย เกลี

ทั้งนี้ นาย เกลี ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหุ้นส่วนของ PwC ในปี 2542 และดำรงตำแหน่งผู้นำองค์กรที่สำคัญอื่น ๆหลายตำแหน่งทั้งในประเทศสหรัฐอเมริกา และเอเชีย ซึ่งรวมถึงตำแหน่งหัวหน้ากลุ่มธุรกิจบริการทางการเงิน ณ PwCประเทศญี่ปุ่น ในช่วงระหว่างปี 2557 ถึง 2562 ด้วย ในปัจจุบัน นาย เกลี เป็นผู้บริหารนำทีมงานธุรกิจที่ปรึกษามากกว่า 1,000คนใน 6 ประเทศ ประกอบด้วย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม และไทย

“ผมคิดว่า ความพิเศษขององค์กรอย่าง PwCคือการผสมผสานบุคลากรท้องถิ่นที่ดีที่สุดและเครือข่ายผู้เชี่ยวชาญระดับโลกเข้าด้วยกัน” นาย เกลี กล่าว   

“ผมรู้สึกตื่นเต้นที่เรามีการผสมผสานที่ว่านี้ในไทยด้วย โดยคุณวิไลพร ทวีลาภพันทอง หัวหน้าสายงานที่ปรึกษาประจำประเทศไทย และผมจะทำงานร่วมกันในการขยายสายงานธุรกิจที่ปรึกษาให้เติบโต” เขา กล่าว

ช่วงเวลาของความท้าทายที่รออยู่ข้างหน้า

นาย เกลี กล่าวว่า การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อเศรษฐกิจของไทยและยังบังคับให้ภาคธุรกิจต้องต่อสู้กับความท้าทายของการดำเนินธุรกิจในช่วงวิกฤต ตั้งแต่การหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทานไปจนถึงการเปลี่ยนสู่ดิจิทัลอย่างรวดเร็ว ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นความท้าทายที่ธุรกิจต้องเร่งจัดการทันที

“เรากำลังเผชิญกับปัจจัยหลายอย่างที่กลายเป็นปัญหาอยู่ในขณะนี้ เช่น การหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทาน เราทราบว่าปัญหาการขาดแคลนซิลิคอน ส่งผลให้การผลิตรถยนต์ในปี 2564 น้อยกว่าที่คาดที่ราวกว่า 11 ล้านคัน” นาย เกลี กล่าวอีกหนึ่งผลกระทบจากการหยุดชะงัก คือปรากฏการณ์การลาออกจากงานอย่างยิ่งใหญ่ (The Great Resignation)หรือการที่พนักงานจำนวนมากออกจากงานด้วยความสมัครใจซึ่งปัญหานี้ส่งผลให้ธุรกิจตกอยู่ภายใต้แรงกดดันในการต้องรักษาบุคลากรที่มีความสามารถสูงให้อยู่กับองค์กร

นอกจากนี้ ภาวะเงินเฟ้อ ยังเป็นปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นกับธุรกิจด้วย

“เราไม่ได้เห็นการปรับอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นมาหลายปีแล้ว ในขณะที่ก็ไม่เคยเห็นอัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับที่เป็นอยู่ตอนนี้ซึ่งมีผลกระทบอย่างมากต่อธุรกิจและกระแสการค้า” นาย เกลี กล่าว

ปรับตัวเพื่อความอยู่รอด

ทั้งนี้ องค์กรธุรกิจมีความจำเป็นที่จะต้องปรับตัวและนำโซลูชันแบบครบวงจรมาแก้ปัญหาความท้าทายที่กล่าวมา

กรณีการเปลี่ยนสู่ดิจิทัลขององค์กร นาย เกลี ยกตัวอย่างว่า ลูกค้าจำเป็นที่จะต้องมีกลยุทธ์ที่ผสมผสานทั้งวัฒนธรรมขององค์กรกำลังแรงงาน และเทคโนโลยีเข้าด้วยกัน ซึ่งยังรวมถึงการปรับกระบวนการทำงานที่จำเป็นเพื่อสร้างความยืดหยุ่นให้กับการเปลี่ยนสู่ดิจิทัลด้วย

“มันไม่มีประโยชน์ที่จะเปลี่ยนกระบวนการสู่ดิจิทัล หากธุรกิจจะต้องออกแบบทุกอย่างใหม่หมดดังนั้นคุณควรที่จะต้องทำสิ่งนั้นก่อนที่จะฝังกระบวนการดิจิทัลใหม่เข้าไป ซึ่งเราต้องการช่วยให้ลูกค้าได้รับผลลัพธ์ที่ใช่และนั่นต้องอาศัยความแข็งแกร่งของเครือข่าย PwC”

“เราอยู่ที่นี่เพื่อคอยให้ความช่วยเหลือ โดยเราเข้าใจดีถึงความท้าทายและแรงกดดันที่ลูกค้าต้องเผชิญ ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไรถือเป็นสิ่งที่ธุรกิจของพวกเขาต้องการ เรามีความมุ่งมั่นที่จะเข้าไปมีส่วนร่วมเพื่อหาแนวทางในการแก้ปัญหาสำคัญเพราะนั่นคือหัวใจของธุรกิจของเรา - การแก้ปัญหาสำคัญ ๆ ให้กับลูกค้าของเรา” นาย เกลี กล่าว