Biz news
พนักงาน1ใน3ในอาเซียนจะหางานใหม่ เมื่อรู้สึกถูกบังคับทำงานออฟฟิตเต็มเวลา
กรุงเทพฯ-23 ก.พ. 2565-เนื่องจากองค์กรต่างๆ ในภูมิภาคกำลังดำเนินการพิจารณา นำมาใช้และปรับใช้การทำงานแบบไฮบริด การวิจัยใหม่จาก Qualtrics ได้แสดงว่าหนึ่งในสามของพนักงาน (34เปอร์เซ็นต์) อาจมองหางานใหม่ หากพวกเขาถูกบังคับให้กลับเข้าไปทำงานในออฟฟิศแบบเต็มเวลาในปัจจุบันรูปแบบการทำงานแบบไฮบริดกลายเป็นวิธีทำงานที่ได้รับความชื่นชอบอย่างชัดเจนในภูมิภาคนี้การจัดเวลาที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในหมู่พนักงานคือทำงานระยะไกลสามวัน / ทำงานในออฟฟิศสองวัน
ในเวลานี้ นายจ้างท้องถิ่นกำลังเผชิญการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในวิธีการทำงานแบบดั้งเดิมผลการค้นพบจากรายงาน แนวโน้มประสบการณ์พนักงานปี 2022 ของ Qualtrics ซึ่งเป็นการแจ้งเตือนที่สำคัญเกี่ยวกับความต้องการที่สอดคล้องกับประสบการณ์พนักงานพร้อมด้วยความคาดหวังของผู้คนเพื่อช่วยให้องค์กรดึงดูดและรักษาผู้มีความสามารถในตลาดงานที่มีการแข่งขันสูงไว้
หนึ่งในความท้าทายที่เร่งด่วนมากที่สุดสำหรับนายจ้างในการเปลี่ยนไปสู่การทำงานแบบไฮบริดคือการจัดลำดับความสำคัญ เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีในระยะยาวของพนักงานและการตั้งแนวทางที่ชัดเจนสำหรับวิธีการทำงานถึงแม้ว่าบางประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะมีรายงานระดับคุณภาพความเป็นอยู่ที่ดีในระดับสูงสุดเมื่อเทียบกับทั่วโลก แต่ความสามารถในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงของพนักงานตลอด 12เดือนที่ผ่านมานี้มีระดับลดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศไทยที่เผชิญปัญหาการลดลงถึง 12เปอร์เซ็นต์ในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงซึ่งแสดงให้เห็นว่าระดับความเป็นอยู่ที่ดีในปัจจุบันนั้นไม่มีความยั่งยืนเว้นแต่พนักงานจะมุ่งเน้นเกี่ยวกับการพัฒนา เพื่อปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงภายในทีมของพวกเขา
การพัฒนาประสบการณ์ด้านเทคโนโลยีสำหรับพนักงานในสภาพแวดล้อมการทำงานแบบไฮบริดควรได้รับการมุ่งเน้นเชิงกลยุทธ์ในปี 2022 ผู้ตอบแบบสอบถามเพียง 30เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่กล่าวว่าเทคโนโลยีที่จัดหาให้พวกเขาใช้งานนั้นตรงกับความคาดหวังของพวกเขาโดยในสิงคโปร์มีตัวเลขต่ำสุดที่ 24 เปอร์เซ็นต์การลงทุนเพื่อการพัฒนาด้านเทคโนโลยีในสถานที่ทำงานแบบไฮบริดจะให้ผลดีในหลายๆ ด้านนอกเหนือกจากการช่วยขับเคลื่อนด้านผลิตภาพแล้ว ผลการวิจัยของ Qualtricsยังได้แสดงว่าพนักงานผู้ซึ่งมีความพึงพอใจกับเทคโนโลยีที่มีอยู่นั้นมีแน้วโน้มที่จะมีส่วนร่วมกับที่ทำงานมากขึ้นถึงสี่เท่า
ถึงแม้ว่าพนักงานมีความตั้งใจที่จะอยู่ทำงานต่อสูงมากขึ้นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยทั่วโลกในประเทศส่วนใหญ่ตัวเลขของพนักงานที่วางแผนจะอยู่ทำงานต่อกับนายจ้างปัจจุบันได้ลดลงในปีนี้การวิจัยแสดงให้เห็นว่าพนักงาน 7 ใน 10 ในไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย
และฟิลิปปินส์จะยังคงทำงานเดิมอยู่ในปีนี้ เทียบกับ 53 เปอร์เซ็นต์ในสิงคโปร์
สำหรับนายจ้างที่ต้องการเพิ่มการรักษาพนักงานในตลาดงานที่มีการแข่งขันสูงการสร้างวัฒนธรรมการเป็นเจ้าของร่วมได้ถูกระบุว่าเป็นแรงผลักดันหลักของความตั้งใจที่จะอยู่ทำงานต่อการสร้างความมั่นใจเพื่อให้พนักงานรู้สึกว่าพวกเขาสามารถบรรลุเป้าหมายในอาชีพการทำงานของพวกเขาได้การจัดลำดับความสำคัญให้กับความเป็นอยู่ที่ดีและการปรับแนวทางส่วนบุคคลให้สอดคล้องกับเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ของบริษัทได้ถูกพูดถึงเช่นกัน
การวิจัยของ Qualtrics ได้เน้นย้ำให้เห็นถึงความสำคัญของการรับฟัง การทำความเข้าใจและตอบสนองกับความคิดเห็นของพนักงานอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้มั่นใจว่าตรงตามความต้องการของพนักงานซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินการเปลี่ยนแปลง
ด้วยการทำความเข้าใจเกี่ยวกับประสบการณ์พนักงานโดยรวมได้ดีขึ้นและสม่ำเสมอมากขึ้นตั้งแต่เทคโนโลยีที่ใช้เพื่อเป็นแรงผลักดันในการรักษาพนักงานองค์กรจะสามารถออกแบบข้อเสนอใหม่และข้อเสนอที่ได้รับการปรับปรุงแล้วได้อย่างรวดเร็วและมั่นใจซึ่งสอดคล้องกับประสบการณ์พนักงานที่กำลังเปลี่ยนแปลงไป
เพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงการทำงานแบบไฮบริดได้อย่างประสบความสำเร็จและสามารถแข่งขันในตลาดแรงงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ธุรกิจต่างๆทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จำเป็นต้องรับแนวคิดใหม่มาปรับใช้รวมถึงกำหนดและเน้นย้ำวิถีการทำงานของพวกเขา ดังที่ได้เห็นในการวิจัยของ Qualtrics การจัดการกับความท้าทายที่ได้เผชิญอยู่นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายดายเหมือนการจัดตารางการทำงานใหม่หรือการเพิ่มการมีส่วนร่วมเลยผู้คนมีความต้องการในสภาพแวดล้อมการทำงานปัจจุบันที่แตกต่างกันนั่นหมายถึงความสามารถในการระบุและตอบสนองกับปัญหาที่ส่งผลกระทบมากที่สุดได้อย่างรวดเร็วและง่ายดายด้วยเครื่องมือของ Qualtrics จะช่วยสร้างความได้เปรียบที่สำคัญได้" กล่าวโดย Lauren Huntingtonนักกลยุทธ์โซลูชั่นประสบการณ์พนักงานของ Qualtrics ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค