Biz news

PwCเผยความเชื่อมั่นCEOเอเชียแปซิฟิก สูงสุดรอบ10ปีชี้ศก.โลกแข็งแกร่งขึ้น



กรุงเทพ, 25 กุมภาพันธ์ 2565 – ซีอีโอในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกยังคงเผชิญกับแรงกดดันจากการแพร่ระบาดใหญ่ของไวรัสโควิด-19และสภาวะตลาดทั้งอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น การหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทาน และกระแสการลาออกจำนวนมากของพนักงาน (GreatResignation) แต่แม้จะมีอุปสรรคมากมาย ซีอีโอในภูมิภาคนี้กลับมีมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มเศรษฐกิจโลกในระดับสูงที่สุดในรอบ 10ปี โดย 76% คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจโลกปีนี้จะแข็งแกร่งขึ้น ขณะที่มีเพียง 17% เท่านั้น ที่คาดว่าสภาวะเศรษฐกิจจะเลวร้ายลง

ทั้งนี้ ระดับมุมมองเชิงบวกของการสำรวจครั้งนี้ ถือเป็นการเพิ่มขึ้น 3 จุดร้อยละจาก 73% ในปีก่อน และเพิ่มขึ้น 41 จุดร้อยละจากปี2563 ซึ่งเป็นปีที่เกือบครึ่ง (48%) ของซีอีโอในเอเชียแปซิฟิกคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจจะตกต่ำ โดยผลสำรวจมุมมองของซีอีโอทั่วโลกประจำปี ครั้งที่ 25 (25th Annual Global CEO Survey)ได้รวบรวมความคิดเห็นและวิสัยทัศน์ของซีอีโอโลกต่อการเติบโตของเศรษฐกิจ รวมทั้งกลยุทธ์และทิศทางธุรกิจภายใต้ความท้าทายใหม่ ๆ จำนวนทั้งสิ้น 4,446 ราย ซึ่งในจำนวนนี้ เป็นซีอีโอจากภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกจำนวนทั้งสิ้น1,618 ราย ในช่วงระหว่างเดือนตุลาคม ถึง พฤศจิกายน 2564

นอกจากนี้ ระดับมุมมองเชิงบวกยังเพิ่มสูงมากที่สุดในประเทศอินเดีย อินโดนีเซีย มาเลเซีย และสิงคโปร์ ซึ่งกว่า 90% ของซีอีโอคาดว่าเศรษฐกิจโลกจะเติบโตได้ในปี 2565 อย่างไรก็ตาม ซีอีโอในสาธารณรัฐประชาชนจีนกลับมองโลกในแง่ดีน้อยกว่าปีที่แล้ว โดยลดลง 9จุดร้อยละมาอยู่ที่ 62%

ความเชื่อมั่นต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจของโลกยังหมายถึงมุมมองเชิงบวกที่อยู่ในระดับสูงของการดำเนินธุรกิจของซีอีโอในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดย 50% ของซีอีโอแสดงความ‘มั่นใจมาก’ หรือ ‘มั่นใจอย่างยิ่ง’ ต่อแนวโน้มการเติบโตของรายได้ในอีก 12 เดือนข้างหน้า

นาย บ็อบ มอริตซ์ ประธาน PwC โกลบอล กล่าวว่า “แม้การแพร่ระบาดยังคงดำเนินต่อไปและการเกิดขึ้นของไวรัสสายพันธุ์ใหม่ได้เข้ามาปกคลุมปีนี้ แต่มุมมองเชิงบวกของซีอีโอที่อยู่ในระดับสูงสะท้อนให้เห็นถึงความแข็งแกร่งและความสามารถในการตอบสนองต่อภาวะวิกฤตของเศรษฐกิจโลกรวมถึงความสามารถของซีอีโอในการจัดการกับความไม่แน่นอนด้วย จริงอยู่ว่าไม่มีสิ่งใดที่เป็นปกติในโลกของการทำงานที่เราอยู่ ณเวลานี้ แต่เราจะเริ่มชินและรับมือกับมันได้ แม้ว่าความเชื่อมั่นจะแตกต่างกันไปในประเทศต่าง ๆและความท้าทายที่ต้องเผชิญก็เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา แต่เป็นที่น่าชื่นใจว่าซีอีโอที่เราได้พูดคุยด้วยยังคงมีความรู้สึกในเชิงบวกต่อภาพรวมของปี 2565”

ความเสี่ยงด้านสุขภาพขึ้นแท่นความกังวลอันดับที่หนึ่งของซีอีโอเอเชียแปซิฟิก

แม้ซีอีโอส่วนใหญ่จะมีมุมมองเชิงบวก แต่พวกเขาก็ตระหนักดีถึงภัยคุกคามที่อาจส่งผลกระทบต่อบริษัทของพวกเขาในช่วง 12เดือนข้างหน้า

ซีอีโอในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกได้จัดอันดับให้ความเสี่ยงด้านสุขภาพ (58%) เป็นภารกิจสำคัญสูงสุดที่ต้องจัดการ (ยกเว้นจีนที่มีเพียง42% ของซีอีโอที่แสดงความกังวลต่อความเสี่ยงด้านสุขภาพอยู่ในระดับสูง)

ทั้งนี้ ระดับความกังวลต่อความเสี่ยงด้านสุขภาพ ยังถือเป็นตัวเลขที่สูงกว่าซีอีโอทั่วโลกอย่างชัดเจนถึงสิบจุดร้อยละ โดยพวกเขามองว่าภัยคุกคามไซเบอร์ ถือเป็นความกังวลเร่งด่วนที่สุด (49%) ซึ่งไม่ห่างไกลจากซีอีโอเอเชียแปซิฟิกที่มองภัยไซเบอร์ (44%)เป็นความเสี่ยงรองลงมา ตามด้วยความผันผวนของเศรษฐกิจมหภาค (43%)

ความแตกต่างนี้สะท้อนให้เห็นว่า แม้ว่าภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกจะมีมุมมองเชิงบวกต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกแต่ยังคงต้องเผชิญกับการแพร่ระบาดของไวรัสสายพันธุ์ใหม่ที่ถ่ายทอดถึงกันได้สูง และการกระจายการฉีดวัคซีนที่ไม่สม่ำเสมอมีเพียงแต่จีนเท่านั้นที่สามารถฟื้นตัวได้เร็วกว่าภูมิภาคอื่น ๆ แต่ก็กำลังประสบกับปัญหาเงินเฟ้อ ฟองสบู่ด้านอสังหาริมทรัพย์และการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทานอยู่ในเวลานี้เช่นกัน

นาย เรย์มันด์ ชาว ประธาน PwC ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและสาธารณรัฐประชาชนจีน ให้ความเห็นว่า:“ตลอดเวลา 25 ปีของการบันทึกความรู้สึกและปฏิกิริยาของซีอีโอต่อแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงรายงานฉบับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของเรา ได้เน้นให้เห็นถึงความท้าทายที่ผู้บริหารระดับสูงในภูมิภาคนี้กำลังเผชิญอยู่ซึ่งการตีความปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจของโลกและภูมิภาคให้เป็นการเติบโตของรายได้จะยังคงเป็นภารกิจที่สำคัญ สิ่งที่เราเห็นคือการเจริญเติบโตแบบมุ่งกระจายธุรกิจ โดยมุ่งเน้นการขยายตลาดไปสู่ระดับภูมิภาคมากขึ้น เช่นการผลิตและจัดส่งสินค้าและบริการภายในเอเชียสำหรับเอเชียหรือการใช้ประโยชน์จากศักยภาพของเทคโนโลยีและบุคลากรท้องถิ่นที่มีความสามารถสูง เป็นต้น

สำหรับการเข้าถึงและขยายกลุ่มบุคลากรท้องถิ่นที่มีความสามารถสูงการจัดลำดับความสำคัญด้านสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของพวกเขาจะเป็นสิ่งสำคัญ ผลสำรวจของเรายังพบว่าความสนใจที่จะผนวกหลักปฏิบัติ ESG เข้ากับความยืดหยุ่นในการปรับตัวและแผนรับมือการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจปรับตัวเพิ่มขึ้นซึ่งนี่ถือเป็นโอกาสที่แท้จริงสำหรับผู้นำธุรกิจในการสร้างความไว้วางใจและขับเคลื่อนผลลัพธ์ที่ยั่งยืนให้กับทุกฝ่ายและยังสนับสนุนกลยุทธ์สมการใหม่ของ PwC ด้วย”

กระแส Go Green เพื่อโลกสีเขียวกำลังได้รับความสนใจ
ซีอีโอในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกแสดงความมุ่งมั่นในการมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality)และการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net-Zero commitment) ในระดับที่แซงหน้าซีอีโอโลก โดย 60-69%ของซีอีโอในภูมิภาคนี้ได้มีการดำเนินการตามปณิธานในการมุ่งสู่การเป็นองค์กรที่มีความเป็นกลางทางคาร์บอนและ/หรือการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่สูงกว่าซีอีโอโลกถึง 9-13% อย่างชัดเจนนอกเหนือไปจากซีอีโอที่ได้ตั้งปณิธานในการลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์แล้วซีอีโอในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกยังได้มีการวางแนวทางการตรวจสอบและการประเมินผลอย่างอิสระในระดับที่มากกว่าซีอีโอโลกถึง 11%(ซีอีโอในเอเชียแปซิฟิก 77% เปรียบเทียบกับซีอีโอทั่วโลก 66%)ขณะที่ก็มีการผนวกเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกเข้าไว้ในแผนกลยุทธ์ของพวกเขาสูงกว่าซีอีโอโลก (ซีอีโอในเอเชียแปซิฟิก 43%เปรียบเทียบกับ 37% ของซีอีโอทั่วโลก)

นาย ชาญชัย ชัยประสิทธิ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท PwC ประเทศไทย กล่าวว่า “ในรอบปีที่ผ่านมาธุรกิจในประเทศไทยมีความตื่นตัวกับกระแส ESG ค่อนข้างมากแต่ธุรกิจที่มีความมุ่งมั่นในการประกาศนโยบายต่อสาธารณะในการลดการปล่อยแก๊สเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ หรือ Net Zeroยังมีจำนวนไม่มากนัก ซึ่งเราพบว่า บริษัทเหล่านี้เป็นบริษัทไทยและบริษัทข้ามชาติทั้งที่จดทะเบียนและไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยมีจำนวนน้อยกว่า 20 แห่งที่ได้มีการประกาศเจตนารมณ์ในเรื่องนี้อย่างชัดเจน สำหรับบริษัทที่ต้องการมุ่งสู่ Net Zero นั้น ส่วนใหญ่จะเป็นบริษัทขนาดใหญ่หรือบริษัทข้ามชาติที่ทำธุรกิจเกี่ยวข้องกับต่างประเทศ เช่น มีสาขา หรือมีสินค้าขายอยู่ในต่างประเทศหรืออยู่ในระบบซัพพลายเชนขนาดใหญ่ของโลก รวมถึงมีนักลงทุนต่างชาติสนใจเข้าลงทุน ซึ่งบริษัทเหล่านี้มีความพร้อมทั้งในด้านขนาดและบุคลากรค่อนข้างสูงมากเมื่อเทียบกับบริษัททั่ว ๆ ไป”

ทั้งนี้ผลสำรวจยังแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นระหว่างความไว้วางใจและปณิธานในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ โดยพิจารณาจากคำตอบของซีอีโอต่อชุดคำถามเกี่ยวกับพฤติกรรมของลูกค้าของพวกเขาโดยซีอีโอในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของบริษัทที่ได้รับความไว้วางใจสูงสุดมีแนวโน้มที่จะเป็นผู้นำองค์กรที่ได้ตั้งปณิธานในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (37%)มากกว่าซีอีโอที่ถูกจัดให้อยู่ในลำดับต่ำที่สุดในเรื่องความไว้วางใจจากลูกค้า (20%) นอกจากนี้ซีอีโอของบริษัทที่ได้รับความน่าเชื่อถือสูงในภูมิภาคนี้ยังมีแนวโน้มที่จะผนวกปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจจัยทางการเงินเข้ากับการคำนวณผลตอบแทนของผู้บริหาร โดยพบว่ามากกว่าครึ่งของซีอีโอในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกที่เป็นองค์กรที่ได้รับความไว้วางใจสูงสุด มีการนำความพึงพอใจของลูกค้า (65%)และความผูกพันของพนักงานต่อองค์กร (57%) มาเป็นตัวชี้วัดในการพิจารณาผลตอบแทนและโบนัสของผู้บริหาร 

“ในส่วนของ ESG เราพบว่า บริษัทไทยส่วนใหญ่มีความเข้าใจและเห็นถึงความสำคัญของการดำเนินการด้าน ESG มากขึ้นเปรียบเทียบกับ 12 เดือนก่อน โดยผู้บริหารเริ่มมีการศึกษาและหาข้อมูลเกี่ยวกับ ESG รวมถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อกิจการเราคาดว่า ในระยะข้างหน้ากระแสเรื่อง ESG ที่จะนำไปสู่การตั้งเป้า Net Zero ของบริษัทไทยจะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวเพราะได้รับแรงกดดันจากต่างประเทศที่มีนโยบายชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องนี้ ไม่เฉพาะลูกค้า แต่ยังรวมไปจนถึงซัพพลายเออร์ที่อาจมาจากกลุ่มประเทศที่มีสภาพแวดล้อมเรื่อง ESG เข้มข้น” นาย ชาญชัย กล่าว

แม้ความสนใจต่อประเด็นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ผลการดำเนินงานที่ไม่ใช่ด้านการเงินและ ESG จะเพิ่มขึ้นแต่กลยุทธ์ยังคงถูกขับเคลื่อนโดยตัวชี้วัดหลักทางธุรกิจ เช่น ความพึงพอใจของลูกค้า/พนักงานและเป้าหมายของระบบการทำงานอัตโนมัติ/การเปลี่ยนสู่ดิจิทัล ลำดับถัดมาคือ เป้าหมายที่เกี่ยวข้องกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจก(Greenhouse gas emission: GHG) และการแสดงออกทางเพศหรือความหลากหลายทางเชื้อชาติและชาติพันธุ์ ซึ่ง 19%หรือน้อยกว่านั้นของซีอีโอในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก มีเป้าหมายในเรื่องดังกล่าวผนวกเข้ากับการพิจารณาผลตอบแทนและโบนัสของผู้บริหาร

นาย ชาญชัย กล่าวทิ้งท้ายว่า “การตั้งเป้าหมาย Net Zero เปรียบเสมือนการวางแผนการเดินทางที่ธุรกิจจะต้องเริ่มจากการทำความเข้าใจก่อนว่า ESG คืออะไร และ ESG ในมิติไหนที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของเราบ้างซึ่งแต่ละประเภทของธุรกิจ ผลกระทบก็จะแตกต่างกันไป และแม้การตั้งเป้าหมายจะไม่มีสูตรตายตัวแต่ต้องพิจารณาดูว่าธุรกิจต้องการจะพัฒนาด้านไหนบ้าง ก่อนที่จะทำการวัดปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยออกมาจากกิจกรรมต่างๆ ของธุรกิจทั้งหมดเพื่อดูว่า Carbon footprint ที่ปล่อยออกมามีเท่าไหร่ หลังจากนั้นวางแผนว่าจะลดปริมาณการปล่อยให้น้อยที่สุดได้อย่างไร หรือต้องซื้อคาร์บอนเครดิต หรือจ่ายเป็นภาษีคาร์บอนเพื่อไปสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน หรือที่เรียกว่า Carbon Neutral ซึ่งกระบวนการความเป็นกลางทางคาร์บอนนี้เองที่จะเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่จะทำให้องค์กรพัฒนาไปสู่องค์กรที่เป็น Net Zero ในลำดับถัดไป”