Biz news

PwCคาดปริมาณ-มูลค่าซื้อขาย-ควบรวม กิจการของไทยปี65เติบโตต่อเนื่อง



กรุงเทพฯ, 5 เมษายน 2565 – PwC ประเทศไทย คาดปริมาณและมูลค่าการซื้อขายและควบรวมกิจการในประเทศไทยปี 2565จะเติบโตต่อเนื่องจากปีก่อน แม้แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นจะส่งผลต่อต้นทุนทางการเงินแต่บริษัทต้องหาหนทางในการรักษาความได้เปรียบทางการแข่งขันและเพิ่มความสามารถในการทำกำไรในระยะยาวเพื่อเอาชนะเงินเฟ้อ โดยคาดว่าอุตสาหกรรมบริการทางการเงินและอุตสาหกรรมเทคโนโลยีจะเป็นสองอุตสาหกรรมของไทยที่มีการซื้อขายและควบรวมกิจการมากที่สุดในปีนี้ 

นางสาว ฉันทนุช โชติกพนิช หุ้นส่วนและหัวหน้าสายงานดีลส์ บริษัท PwC ประเทศไทย เปิดเผยว่า ในปี 2564เป็นปีที่มีปริมาณการซื้อขายกิจการสูงสุดเป็นประวัติการณ์เนื่องจากธุรกิจและผู้คนเริ่มปรับตัวใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้ และคาดว่าปริมาณและมูลค่าการซื้อขายและควบรวมกิจการในปี 2565 จะเติบโตต่อเนื่องจากปีก่อนแม้จะมีการแพร่ระบาดของสายพันธุ์โอมิครอน รวมถึงอัตราดอกเบี้ยและเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นก็ตามเพราะผู้นำธุรกิจเริ่มมองเห็นแนวโน้มของโลกในระยะต่อไปได้ชัดเจนยิ่งขึ้นจึงหันมาทบทวนกลยุทธ์และธุรกิจในพอร์ตฟอลิโอของตนเอง ขณะที่บางธุรกิจต้องการปรับโครงสร้างต้นทุนหรือแสวงหาธุรกิจอื่นที่ตนยังขาดเพื่อรักษาอัตราการเติบโต โดยกิจการที่มีการควบรวมกันมากที่สุดในประเทศไทยในปีที่ผ่านมาส่วนใหญ่นั้นเป็นกิจการในกลุ่มอุตสาหกรรมบริการทางการเงินและเทคโนโลยี

“เทรนด์ของการทำดีลส์ซื้อขายและควบรวมกิจการของไทยในปีนี้จะคล้ายคลึงกับทั่วโลก แม้กระแสอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นอัตราเงินเฟ้อที่ขยับขึ้นสูง และกฎระเบียบที่เพิ่มมากขึ้นอาจทำให้เกิดอุปสรรคต่อโครงสร้างการเงินสำหรับการบรรลุข้อตกลงในการทำดีลส์บ้าง แต่สภาวการณ์ดังกล่าวกลับจะยิ่งเป็นตัวผลักดันให้เกิดการควบรวมกิจการมากขึ้น บริษัทจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงตัวเอง เข้าสู่ตลาดใหม่และแปลงไปสู่ดิจิทัลเพื่อเพิ่มคุณค่ากิจการอย่างยั่งยืน” นางสาว ฉันทนุช กล่าว

แนวโน้มดังกล่าว สอดคล้องกับรายงาน Global M&A Industry Trends: 2022 Outlook ของ PwCที่ทำการรวบรวมข้อมูลเชิงลึกจากผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมดีลส์และทำการวิเคราะห์กิจกรรมดีลส์ทั่วโลกเพื่อประเมินถึงแนวโน้มปริมาณและมูลค่าการควบรวมกิจการพบว่า ปริมาณและมูลค่าการควบรวมกิจการเพิ่มขึ้นทั่วโลกในปีที่ผ่านมาโดยการซื้อขายและควบรวมกิจการ (Mergers and Acquisitions: M&A) ที่ประกาศออกมามีจำนวนกว่า 62,000 รายการในปี 2564หรือเพิ่มขึ้น 24% จากปี 2563

ขณะที่มูลค่าของการซื้อขายและควบรวมกิจการที่เปิดเผยต่อสาธารณะก็แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 5.1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ(รวมรายการขนาดใหญ่ที่มีมูลค่า 5 พันล้านเหรียญสหรัฐขึ้นไป) หรือเพิ่มขึ้น 57% จากปี 2563 และทำลายสถิติเดิมที่ 4.2ล้านล้านเหรียญสหรัฐในปี 2550

นางสาว ฉันทนุช กล่าวต่อว่า สถานการณ์การควบรวมกิจการทั่วโลกนั้นมีการแข่งขันที่สูงขึ้นในกลุ่มนักลงทุนที่จะทำการซื้อขายกิจการไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนทางการเงิน เช่น กองทุนไพรเวทอิควิตี้ หรือนักลงทุนเชิงกลยุทธ์ (Corporates หรือ strategic investors)และการที่นักลงทุนมีเงินทุนที่ระดมมาผ่านทางตลาดทุน และจากบริษัทที่สร้างขึ้นมาเพื่อระดมเงินทุนไปซื้อบริษัทอื่น (Special Purpose Acquisition Company: SPAC) ในสหรัฐฯ พร้อมใช้เพื่อสร้างการเติบโตมากกว่าปีก่อน ๆ ทำให้เกิดการคาดการณ์ว่าราคาซื้อขายกิจการจะสูงขึ้นตามไปด้วย เมื่อนักลงทุนซื้อกิจการมาในราคาที่สูงรวมกับต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้นควบคู่กันจึงเกิดเป็นความกดดันที่นักลงทุนต้องสร้างมูลค่ากิจการให้เกิดผลกำไรที่สูงกว่าที่เคยทำมาในอดีต

แนวโน้ม M&A ในอุตสาหกรรมหลักทั่วโลกในปี 65 

ทั้งนี้ รายงานฉบับดังกล่าว ยังระบุถึงแนวโน้มการควบรวมกิจการที่จะเกิดขึ้นในอุตสาหกรรมหลัก ดังต่อไปนี้

1. อุตสาหกรรมตลาดผู้บริโภค: พฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปจะยังคงเป็นตัวเร่งให้เกิดกิจกรรม M&A ในปีนี้เนื่องจากองค์กรธุรกิจและกองทุนไพรเวทอิควิตี้ ต้องทบทวนพอร์ตโฟลิโอใหม่เพื่อรองรับแนวโน้มของผู้บริโภคที่กำลังเกิดขึ้นเช่น การบริโภคอย่างมีสติ (Conscious consumerism)ซึ่งจะทำให้เกิดความต้องการผลิตภัณฑ์และบริการเปลี่ยนไปสู่ธุรกิจรูปแบบใหม่ที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมมากขึ้น

2. อุตสาหกรรมพลังงาน สาธารณูปโภค และทรัพยากร: แนวคิดในการดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคมและธรรมาภิบาล (Environmental, Social and Governance: ESG) กำลังขับเคลื่อนกลยุทธ์ของอุตสาหกรรมนี้โดยการควบรวมกิจการจะถูกนำมาใช้เพื่อปรับสมดุลพอร์ตการลงทุนและแสวงหาโอกาสในด้าน ESGเพื่อสร้างมูลค่าสำหรับการเติบโต เช่น พลังงานหมุนเวียน การดักจับคาร์บอน การจัดเก็บแบตเตอรี่ ไฮโดรเจนโครงสร้างพื้นฐานการส่งสัญญาณ และเทคโนโลยีสะอาดอื่น ๆ

3. อุตสาหกรรมบริการทางการเงิน:การแข่งขันเพื่อสร้างความได้เปรียบทางการตลาดเชิงกลยุทธ์จะยังคงกระตุ้นให้เกิดการควบรวมกิจการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการซื้อขายและควบรวมกิจการที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้เพิ่มประสิทธิภาพและความสามารถในการแข่งขัน ในขณะเดียวกัน สินทรัพย์ที่ประสบปัญหา(Distressed assets) ในภาคธนาคารและประกันภัย จะตกเป็นเป้าหมายในการซื้อขายและควบรวมกิจการได้เช่นเดียวกัน

4. อุตสาหกรรมด้านสุขภาพ: บริษัทยาและเวชภัณฑ์จะมองหาวิธีปรับพอร์ตโฟลิโอเติบโตผ่านการซื้อขายและควบรวมกิจการซึ่งจะเป็นช่องทางหนึ่งที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น การผลิตวัคซีนรูปแบบใหม่ (MessengerRibonucleic Acid: mRNA) การบำบัดด้วยเซลล์และยีนในบริการด้านสุขภาพ แพลตฟอร์มการดูแลเฉพาะทางการแพทย์ทางไกล (Telehealth) และเทคโนโลยีด้านสุขภาพอื่น ๆ เป็นต้น

5. อุตสาหกรรมการผลิตเชิงอุตสาหกรรมและยานยนต์: การทบทวนพอร์ตโฟลิโอเชิงกลยุทธ์และ ESGกำลังขับเคลื่อนกิจกรรม M&A ในอุตสาหกรรมนี้เช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการซื้อขายและควบรวมกิจการเพื่อเปลี่ยนไปสู่ดิจิทัล เช่น ยานยนต์ไฟฟ้าและขับเคลื่อนอัตโนมัติแบตเตอรี่และเทคโนโลยีการชาร์จ การผลิตแบบเติมเนื้อวัสดุ วัสดุยุคใหม่ และการผลิตด้วยพลังงานทางเลือก

6. อุตสาหกรรมเทคโนโลยี สื่อ และโทรคมนาคม:อุตสาหกรรมแบบดั้งเดิมกำลังเผชิญกับผลกระทบอย่างหนักจากการเข้ามาของเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆที่เข้าสู่กระแสหลักรวดเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้เทคโนโลยีจึงเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่จะมีปริมาณและมูลค่าการซื้อขายและควบรวมกิจการสูงกว่าอุตสาหกรรมอื่นในขณะที่บริษัทจากอุตสาหกรรมอื่นก็จะพยายามเข้าถึงเทคโนโลยีหลักหรือความสามารถทางดิจิทัลของบริษัทในอุตสาหกรรมกลุ่มนี้เช่นกัน

“การเปลี่ยนผ่านไปสู่ดิจิทัล น่าจะเป็นแรงกดดันอย่างต่อเนื่องให้ทุกอุตสาหกรรมต้องกลับมาทบทวนพอร์ตโฟลิโอในปีนี้ แม้การทำM&A จะช่วยขับเคลื่อนการเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่การทบทวนธุรกิจเดิมและความสามารถในการทำกำไรก็เป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้กันเพราะเมื่อกลับมาทบทวนจะช่วยให้เห็นภาพว่า ธุรกิจในปัจจุบันของเรานั้นยังมีศักยภาพในการเติบโตท่ามกลางแนวโน้มโลกที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตหรือไม่ ทำให้ช่วงผ่านมาเราจะเห็นหลาย ๆบริษัทตัดขายธุรกิจที่ผลการดำเนินงานไม่ดี หรือไม่ใช่ธุรกิจหลักขององค์กรและอีกหลายรายพยายามรักษาความได้เปรียบในการแข่งขันด้วยการซื้อกิจการใหม่เข้ามาเสริมซึ่งเป็นอีกหนึ่งแนวทางในการช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กิจการที่สำคัญ ไม่แพ้การเติบโตของรายได้และการลดต้นทุน นอกจากนี้ความขัดแย้งระหว่างประเทศที่เกิดขึ้น ยังส่งผลโดยตรงกับการบริหารซัพพลายเชนทั่วโลก การเปลี่ยนวิธีการบริหารจัดการวัตถุดิบแรงงาน การขนส่ง อาจทำให้นักลงทุนเปลี่ยนกลยุทธ์กระจายความเสี่ยงด้วยการมีแหล่งวัตถุดิบในประเทศ หรือในละแวกใกล้เคียงหรือ Nearshore มากขึ้น ผ่านการซื้อขายกิจการ อย่างไรก็ตาม ในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 อาจมีการหยุดชะงักหรือล่าช้าในการปิดการซื้อขายกิจการ” นางสาว ฉันทนุช กล่าว