Biz news

'เค.ซี.พร็อพเพอร์ตี้ฯ'ยันถือหุ้นแน่นหลัง จ่อเข้าตลาดอีกย้ำแข็งแกร่งโต706%



กรุงเทพฯ-ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ "บมจ.เค.ซี.พร็อพเพอร์ตี้" ตบเท้ายืนยันถือหุ้นเหนียวแน่น โดย“สันติ ปิยะทัต” สมัครใจไม่ขายหุ้นเป็นเวลา 6 เดือน หลังกลต.อนุมัติกลับเข้ามาซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์อีกครั้ง เริ่มตั้งแต่ 19 พฤษภาคม นี้ ในหมวดธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ทางด้านผู้บริหาร และผู้ถือหุ้นอันดับ 1 ของบริษัทฯ“สันติ ปิยะทัต” ย้ำภาพความแข็งแกร่งบริษัทหลังผ่านความยากลำบากมากกว่า 5 ปีเต็ม ขอกลับมาเป็นหนึ่งในผู้นำตลาดอสังหาฯอีกครั้ง โชว์ Q1/65 สร้างรายได้รวมมูลค่า 81.64 ล้านบาท ซึ่งเติบโตจากไตรมาสแรกปีก่อนหน้าถึง 706%

นายสันติ  ปิยะทัต กรรมการผู้จัดการ บริษัท เค.ซี. พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ "KC" ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์แนวราบด้วยคุณภาพอย่างมั่นคงที่ก้าวสู่ปีที่ 40 เปิดเผยว่า หลังจากที่บริษัทฯต้องถูกระงับการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เป็นเวลากว่า 5 ปี ผมและทีมงานได้พยายามแก้ไขปัญหาจนสำเร็จลุล่วง ไม่ว่าจะเป็นการปรับปรุงระบบควบคุมภายในที่มีประสิทธิภาพ และโปร่งใส เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้สอบบัญชี และหน่วยงานกำกับดูแลฯ บรรษัทจดทะเบียน ตลอดจนท่านผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ จนผู้สอบบัญชีให้ความไว้วางใจ และทำการตรวจสอบบัญชีและรับรองงบการเงินให้เรามาจนถึงปัจจุบัน

ในส่วนของธุรกิจเรามุ่งมั่นพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์คุณภาพสูงทำเลดี ในราคาที่คุ้มค่า โดยมีแผนที่จะกระจายความเสี่ยง ไปสู่ธุรกิจอื่นๆ เพื่อสร้างความมั่นคงในระยะยาวให้แก่บริษัทฯ และท่านผู้ถือหุ้น ผมและทีมงานเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้ จะทำให้ทุกฝ่ายมีความเชื่อมั่นต่อเค.ซี.ฯ ว่าจะกลับมาเป็นบริษัทจดทะเบียนที่ธุรกิจมีความยั่งยืนในตลาดหลักทรัพย์ได้อย่างมั่นคงต่อไป

นายสันติ กล่าวว่า เป้าหมายหลักของบริษัทฯ ในช่วงครึ่งปีแรกที่สำคัญที่สุดคือ การพยายามกลับมาซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ให้ได้อีกครั้ง ซึ่งเราได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี จากทุกๆ ฝ่ายจนเราสามารถกลับมาได้สำเร็จในวันที่ 19 พฤษภาคม ที่จะถึงนี้ ซึ่งจุดนี้จะเป็นกุญแจสำคัญในการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ เป็นการสร้างความมั่นใจให้แก่ทุกๆ ฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นผู้ถือหุ้นทุกๆ ท่าน ซึ่งผ่านความยากลำบากตลอด 5 ปีที่ผ่านมา พนักงาน คู่ค้า สถาบันการเงิน ตลอดจนหน่วยงานกำกับดูแลฯ เมื่อทุกฝ่ายมั่นใจในตัวเราสิ่งเหล่านี้ได้สะท้อนออกมาเป็นภาพรวมของธุรกิจในช่วงไตรมาสแรกของปี 2565 ซึ่งเราทำผลงานออกมาได้ใกล้เคียงกับเป้าหมายที่วางไว้ และยังคงมุ่งมั่นเดินหน้าต่อไปเพื่อให้ปี 2565 เป็นปีแห่งการเริ่มต้นที่ดีของ เค.ซี.

สำหรับการลงทุนของบริษัทฯด้านพัฒนาโครงการใหม่ ซึ่งเรายังคงเตรียมจะพัฒนาโครงการใหม่ๆ ออกมาอย่างต่อเนื่องในรูปแบบที่แตกต่างออกไปธุรกิจ

นายสันติ กล่าวอีกว่า ปัจจัยหลักที่ทำให้บริษัทฯกลับมาแข็งแกร่ง และสามารถทำกำไรได้ เป็นผลจากการปรับปรุงกระบวนการทำงานตลอดช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากในอดีตบริษัทฯประสบกับปัญหาการขาดทุนมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเราได้พยายามแก้ปัญหาด้วยการปรับปรุงกระบวนการให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อเพิ่มความรวดเร็วในการดำเนินธุรกิจทั้งกระบวนการด้วยกลยุทธ์ FAST Process ซึ่งส่งผลทำให้กลไกของธุรกิจคล่องตัวขึ้น

นอกจากนั้นเราพยายามลดค่าใช้จ่ายในการบริหาร รวมถึงการบริหารจัดการต้นทุนการก่อสร้างให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และสุดท้ายเราพยายามปรับปรุงและพัฒนา Design และ Function ในโครงการหลักๆไปควบคู่กัน เป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มและส่งผลให้อัตรากำไรต่อหน่วยในโครงการหลักๆของเราดีขึ้น จึงส่งผลทำให้งบการเงินของบริษัทฯในไตรมาส 1 ของปี 2565 ดีขึ้นสามารถสร้างรายได้รวมทั้งสิ้นมูลค่า 81.64 ล้านบาท ซึ่งเติบโตจากไตรมาสแรกปีก่อนหน้าถึง 706% (รายได้ไตรมาสแรกปี 2564 เท่ากับ 11.55 ล้านบาท)

ปัจจุบันบริษัทฯ มีโครงการที่อยู่ระหว่างพัฒนาและดำเนินการขายอยู่ 5 โครงการ มูลค่ารวม 3,399 ล้านบาท  สำหรับแผนการดำเนินงานในครึ่งปีหลัง บริษัทฯ ยังคงมุ่งพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แนวราบต่อไป โดยพยายามพัฒนาโครงการในทำเลที่มีศักยภาพ ขณะเดียวกันบริษัทฯ มีความสนใจในการขยายธุรกิจใหม่ๆ ที่สามารถสร้างรายได้เสริมให้กับบริษัทฯ

“โดยแผนธุรกิจตลอดทั้งปี 65 บริษัทฯ ดำเนินการพัฒนาโครงการต่างๆ  แบ่งเป็นบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม และอาคารพาณิชย์ ซึ่งอาคารพาณิชย์เป็นโปรดักส์ตัวใหม่ ที่มีการนำเทคโนโลยีที่ช่วยประหยัดพลังงาน โดยเฉพาะด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเข้ามาเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในระยะยาว ได้แก่ โดยการติดตั้งแผงวงจรพลังงานแสงอาทิตย์ในฐานะผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ บริษัทฯ ยังคงมองหาเทคโนโลยีเพื่อการอยู่อาศัยที่ดีเพื่อสร้างความสุขแก่ผู้อยู่อาศัย สอดคล้องกับเทรนด์ทั่วโลกที่มีการพัฒนาและนำเทคโนโลยีต่างๆไม่ว่าจะเป็นด้านความปลอดภัย เครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะ ระบบประหยัดพลังงาน การดูแลด้านสุขภาพของผู้อยู่อาศัย และระบบอื่นๆ มาช่วยอำนวยความสะดวกแก่ผู้อยู่อาศัยภายในบ้าน” นายสันติ กล่าวสรุปในตอนท้าย