EDU Research & ESG

วช.​หนุนวิสาหกิจชุมชนเหมือดแอ่-อุบลฯ สร้างผลิตภัณฑ์ฝ้ายทอมือผ้าทออีสาน



กรุงเทพฯ-วช.​ หนุนวิสาหกิจชุมชนกลุ่มแม่บ้านเกษตรกรบ้านเหมือดแอ่  จ.อุบลราชธานี สร้างผลิตภัณฑ์ฝ้ายทอมือผ้าทออีสาน สู่ตลาดโลก

วันที่ 21 กรกฎาคม 2565 สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม นำคณะสื่อมวลชนลงพื้นที่วิสาหกิจชุมชนกลุ่มแม่บ้านเกษตรกรบ้านเหมือดแอ่ อำเภอนาตาล จังหวัดอุบลราชธานี เพื่อดูผลสำเร็จงานวิจัยสร้างสรรค์วิชาการงานศิลป์ จากผลงานโครงการวิจัย เรื่อง “การจัดการความรู้และถ่ายทอดเทคโนโลยี การฟอก ย้อม พิมพ์ การออกแบบ และการสร้างผลิตภัณฑ์ฝ้ายทอมือสู่เชิงพาณิชย์” โดยมี ผศ.ดร. รัตนพล มงคลรัตนาสิทธิ์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร เป็นหัวหน้าโครงการ เพื่อส่งเสริมและขับเคลื่อนให้วิสาหกิจชุมชนซึ่งผลิตสิ่งทอพื้นเมืองที่เป็นภูมิปัญญาท้องถิ่น ให้ผ้าทออีสาน เป็นที่ต้องการของตลาดเพิ่มขึ้น โดยนำองค์ความรู้จากการวิจัยและนวัตกรรมเข้าไปส่งเสริมและสนับสนุน

ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ กล่าวว่า ภาครัฐมีนโยบายพัฒนาและส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน เพื่อให้เกิดการสร้างเศรษฐกิจและสังคมที่เข้มแข็ง กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดย สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) จึงสนับสนุนทุนวิจัยใน “โครงการการจัดการความรู้และถ่ายทอดเทคโนโลยีการฟอก ย้อม พิมพ์ การออกแบบ และการสร้างผลิตภัณฑ์ฝ้ายทอมือ สู่เชิงพาณิชย์” ของ “ผศ.ดร.รัตนพล มงคลรัตนาสิทธิ์” จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร เพื่อส่งเสริมและขับเคลื่อนให้วิสาหกิจชุมชน ซึ่งผลิตสิ่งทอพื้นเมืองที่เป็นภูมิปัญญาท้องถิ่น สามารถต่อยอดประกอบธุรกิจเชิงพาณิชย์ และยกระดับผลิตภัณฑ์ให้เป็นที่ยอมรับทั้งในและต่างประเทศ เพื่อการพัฒนาเชิงพื้นที่และชุมชน โดยความร่วมมือของทุกภาคส่วนวิจัยที่มีความพร้อมในการสนับสนุนองค์ความรู้ไปถ่ายทอด เพื่อพัฒนากระบวนการผลิต พัฒนาอาชีพ และพัฒนาคุณภาพชีวิตให้กับชุมชน เป็นฐานรากการพัฒนาเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ ที่มีความมั่นคงและยั่งยืนต่อไป

ผศ.ดร.รัตนพล มงคลรัตนาสิทธิ์ อาจารย์ประจำคณะอุตสาหกรรมสิ่งทอและออกแบบแฟชั่น มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร​ เปิดเผยว่า ปัจจุบันผู้คนมีความสนใจในวิถีชุมชน วิถีชาวบ้าน ความเป็นธรรมชาตินิยม รวมถึงผลิตภัณฑ์ชุมชนและภูมิปัญญาท้องถิ่นมากขึ้น ซึ่งผ้าทอของอีสานก็เป็นอีกหนึ่งจุดสนใจที่กำลังได้รับความนิยม และเป็นที่ต้องการของตลาดเพิ่มขึ้น จึงควรที่จะส่งเสริมและพัฒนาผลิตภัณฑ์ผ้าทออีสานในรูปแบบต่าง​ ๆ ให้ได้มาตรฐาน มีความเป็นสากลและเป็นที่ต้องการของตลาดทั่วโลก โดยวิสาหกิจชุมชน​ กลุ่ม​ผ้าทอมือย้อมสีธรรมชาติ​บ้านเหมือดแอ่​ จังหวัด​อุบลราชธานี​ ได้รังสรรค์​ผลิตภัณฑ์​ผ้าฝ้าย​ ผ้าย้อมครามที่เป็น​อัตลักษณ์​ของ​จังหวัด​ภาคอีสาน​ และเป็นแหล่งผลิตผ้าไหม​ ผ้าฝ้าย​ ผ้าย้อมคราม​ก่อให้เกิดการแปรรูป​ผลิตภัณฑ์​ผ้าฝ้ายทอมือย้อมสีครามจากธรรมชาติ​ อาทิเช่น​ ผ้าพันคอ​จากผ้าฝ้ายทอมือย้อมสีคราม​ ผลิตภัณฑ์​กระเป๋า​ผ้าฝ้าย​ย้อมสีพิมพ์​สีจากใบมังคุ​ด​ และผลิตภัณฑ์​หมวกบักเก็ต​จากผ้าฝ้ายทอมือ มีการผสมผสาน​วัฒนธรรม​ต่างชาติ​ ทำให้ผ้าทอมือของไทยมีรูป​แบบและลวดลาย​ที่มีความเป็​นสากลและเป็​นที่นิยมในต่างประเทศ​ ซึ่งจะส่งผลดีต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจตามหลักปรัชญา​เศรษฐกิจพอเพียง​ ยกระดับ​คุณภาพผ้าฝ้าย​ทอมือ​ หมู่บ้าน​ท่องเที่ยว​เชิง​วัฒนธรรม​วิถีลุ่มน้ำ​โขง​ ชี​ มูล​ ได้อย่างยั่งยืน

ซึ่งในการดำเนินงานมีการประสานงานกับศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 7 กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม จังหวัดอุบลราชธานี ในการคัดเลือกกลุ่มวิสาหกิจชุมชน บริเวณจังหวัดอุบลราชธานี จังหวัดยโสธร และจังหวัดศรีสะเกษ เข้าร่วมกิจกรรมในโครงการฯ จำนวนทั้งสิ้น 70 คน สำหรับการต่อยอดงานวิจัย

ในอนาคตจะเน้นการถ่ายทอดเทคโนโลยีดังกล่าวให้กับกลุ่มวิสาหกิจชุมชนที่ฟอก ย้อม พิมพ์ ตลอดจนการทอผ้าด้วยเส้นด้ายฝ้ายทั่วประเทศที่สนใจเทคโนโลยีนี้ โดยทางทีมผู้วิจัยได้จัดทำคู่มือองค์ความรู้​ เรื่อง “การฟอก ย้อม พิมพ์ ออกแบบ และการสร้างผลิตภัณฑ์ผ้าฝ้ายทอมือ” เพื่อใช้ในการเผยแพร่ผ่านสื่อต่างๆ เช่น เว็บไซต์ของสำนักงานการวิจัยแห่งชาติwww.nrct.go.th และคณะอุตสาหกรรมสิ่งทอและออกแบบแฟชั่น มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร เป็นต้น ซึ่งในคู่มือดังกล่าวกลุ่มวิสาหกิจชุมชนสามารถนำไปประยุกต์ใช้และปฏิบัติตามได้ 

โดยผู้สนใจติดตามรายละเอียดได้ที่เพจ​ Facebook​ : ผ้าชมดาว​ และ​ เพจ​ Facebook​ : ​ครามนาผ้าฝ้าย​ หรือสอบถามรายละเอียดได้ที่โทร​ศัพท์086-2626754,061-9523623 อีกทั้ง​ผลิตภัณฑ์​ดังกล่าว​ ​​จะจัดแสดงให้เยี่ยมชมในงาน “มหกรรมงานวิจัยแห่งชาติ 2565 ( Thailand Research Expo 2022 )”  ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 1-5 สิงหาคม 2565 ภายใต้แนวคิด​ “วิจัยเพื่อพัฒนาประเทศสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน” ที่โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์และบางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์​