In News
รัฐฯเผยยอดการใช้จ่ายภายใต้3โครงการฯ กระตุ้นศก.รวม4หมื่นล.กว่า21.5ล.ราย
กรุงเทพฯ-โฆษกรัฐบาลเผย ยอดการใช้จ่ายภายใต้ 3 โครงการ ฯ เพื่อกระตุ้นการบริโภค สะสมรวม 40,054 ล้านบาท ประชาชนสนใจลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ปี 2565 แล้วกว่า 21.5 ล้านราย รอผลการตรวจสอบคุณสมบัติตามโครงการฯ อีกครั้ง เชื่อสามารถช่วยประชาชนกลุ่มเปาะบางที่ตกหล่น
วันที่ 19 ตุลาคม 2565 นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมืองปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยความคืบหน้าการใช้จ่ายภายใต้โครงการกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ ข้อมูล ณ วันอังคารที่ 18 ตุลาคม 2565 เวลา 23.00 น. มีผู้ใช้สิทธิ สะสม รวม 38.22 ล้านคน ยอดใช้จ่าย สะสม รวม 40,053.9 ล้านบาท แบ่งเป็น
1. โครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 5 มีผู้ใช้สิทธิสะสม 24.02 ล้านคน โดยมียอดใช้จ่ายสะสม 34,638.7 ล้านบาท แบ่งเป็นส่วนที่ประชาชนจ่ายสะสม 17,630.5 ล้านบาท และรัฐร่วมจ่ายสะสม 17,008.2 ล้านบาท
2. โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ระยะที่ 5 มีผู้ใช้สิทธิสะสม 13.14 ล้านคน ยอดใช้จ่ายสะสม 5,039.5 ล้านบาท
3. โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ ระยะที่ 3 มีผู้ใช้สิทธิสะสม 1.06 ล้านคน ยอดใช้จ่ายสะสม 375.7 ล้านบาท
สำหรับความคืบหน้าในการเปิดรับลงทะเบียนโครงการการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐปี 2565 ตั้งแต่ 5 กันยายน - 17 ตุลาคม 2565 มีประชาชนลงทะเบียนแล้วทั้งสิ้น 21,526,830 ราย โดยเป็นการลงทะเบียนผ่านหน่วยงานรับลงทะเบียนจำนวน 11,673,312 ราย และลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ จำนวน 9,853,518 ราย ทั้งนี้ รัฐบาลโดยกระทรวงการคลังยังเปิดให้ประชาชนที่มีคุณสมบัติและสนใจเข้าร่วมโครงการ ลงทะเบียนได้จนถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2565 นี้ ผ่านเว็บไซต์ https://บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ.mof.go.th หรือ https://welfare.mof.go.th ได้ตั้งแต่เวลา 6.00 น. ถึง 23.00 น. ของทุกวัน หรือลงทะเบียนผ่านหน่วยงานรับลงทะเบียนทั่วประเทศ โดยจะมีการประกาศผลการพิจารณาคุณสมบัติและยืนยันตัวตนสำหรับผู้ที่ผ่านคุณสมบัติภายในเดือนมกราคม ปี 2566
รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรียังได้กล่าวว่า ตัวเลขจำนวนผู้ลงทะเบียนดังกล่าว ยังไม่ได้เป็นผู้ที่ได้รับสิทธิ์สวัสดิการแห่งรัฐ ยังจะต้องรอให้มีการตรวจสอบคุณสมบัติตามโครงการฯ อีกครั้ง อย่างไรก็ตาม รัฐบาลหวังว่า โครงการนี้จะสามารถช่วยประชาชนกลุ่มเปาะบางที่ตกหล่น ให้เข้าถึงโครงการความช่วยเหลือของภาครัฐได้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น