In News

1-2 พ.ย.นี้ไทยจะลงนามแผนปฏิบัติการ หุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ไทย-ออสเตรเลีย



กรุงเทพฯ- รองโฆษกรัฐบาล เผย1-2 พ.ย.นี้ ไทยพร้อมลงนามแผนปฏิบัติการร่วมความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ไทย-ออสเตรเลีย ค.ศ.2022-2025

นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2565 ว่า ครม.เห็นชอบร่างแผนปฏิบัติการร่วมว่าด้วยความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ระหว่างไทยกับออสเตรเลีย ค.ศ.2022-2025 (Joint Plan of Action to Implement the Thailand-Australia Strategic Partnership 2022-2025) ร่างแผนปฏิบัติการฉบับนี้ เป็นผลสืบเนื่องจากนายกรัฐมนตรีทั้งสองประเทศได้ลงนามในปฏิญญาร่วมว่าด้วยความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ระหว่างราชอาณาจักรไทยกับออสเตรเลีย เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2563 ที่ผ่านมา เพื่อยกระดับความสัมพันธ์ทวิภาคีเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ โดยปฏิญญาฯ ดังกล่าวได้กำหนดให้กระทรวงการต่างประเทศของทั้งสองฝ่ายจัดทำร่างแผนปฏิบัติการร่วมฯ เพื่อขับเคลื่อนความร่วมมือระหว่างกัน  ทั้งนี้ จะมีการลงนามร่างแผนปฏิบัติการร่วมฯ ในระหว่างการเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการของนางสาวเพนนี หว่อง รัฐมนตรีว่าการต่างประเทศออสเตรเลีย ระหว่างวันที่ 1-2 พฤศจิกายน 2565 เพื่อหารือทวิภาคีกับรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และเข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี

สาระสำคัญของร่างแผนปฏิบัติการฉบับนี้ เป็นแผนงานในการขับเคลื่อนความร่วมมือในทุกมิติระหว่างไทยและออสเตรเลีย มีระยะเวลา 4 ปี (พ.ศ.2565 - 2568) ขับเคลื่อนผ่านกิจกรรมและโครงการต่างๆ ในฐานะหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ ครอบคลุมความร่วมมือรอบด้าน ได้แก่ (1)ด้านการเมือง การทหาร และความมั่นคงรูปแบบใหม่ รวมถึงการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ ยาเสพติดและการค้ามนุษย์ (2) ด้านเศรษฐกิจ รวมถึงสาขาเศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว และเศรษฐกิจดิจิทัล (3) ความร่วมมือรายสาขา อาทิ สาธารณสุข เกษตร การศึกษา วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและการวิจัย พลังงาน สิ่งแวดล้อม และการบริหารจัดการภัยพิบัติ (4) ความเชื่อมโยงระดับประชาชน และ (5) ความร่วมมือระดับภูมิภาคและอนุภูมิภาค

นางสาวรัชดา กล่าวด้วยว่า วันที่ 19 ธันวาคม 2565 นี้ จะครบรอบความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-ออสเตรเลีย 70 ปี ซึ่งร่างแผนปฏิบัติการฉบับนี้ ถือเป็นการยืนยันถึงความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างไทยและออสเตรเลีย รวมถึงเป็นแผนงานในการขับเคลื่อนความร่วมมือของทั้งสองประเทศในทุกมิติและสนับสนุนการฟื้นฟูเศรษฐกิจและหลังการระบาดของโรคโควิด-19