Health & Beauty

ตรวจสุขภาพเชิงป้องกันเพื่อคุณภาพชีวิต ที่ดีของทุกคน โดย'หมอแอมป์'



กรุงเทพฯ-Prevention is better than cure หรือ “การป้องกันไว้ดีกว่าแก้” นายแพทย์ตนุพลวิรุฬหการุญ (หมอแอมป์) นายกสมาคมแพทย์ฟื้นฟูสุขภาพและส่งเสริมการศึกษาโรคอ้วนกรุงเทพ (BARSO) และประธานคณะผู้บริหาร บีดีเอ็มเอส เวลเนส คลินิกกล่าวถึงวลีจากนักปรัชญาชาวดัทช์ (Desiderius Erasmus)ซึ่งถูกยึดเป็นหลักการพื้นฐานของการดูแลสุขภาพในยุคสมัยใหม่เพราะการรักษาสุขภาพให้แข็งแรง (Wellness) มีชีวิตที่ยืนยาวอย่างมีความสุข (Happiness)ย่อมดีกว่าความอ่อนล้าและทรมานที่อาจมาพร้อมความเจ็บป่วย (Sickness)

จากรายงาน Noncommunicable Diseases Progress Monitor 2022ขององค์การอนามัยโลก (World Health Organization; WHO)ผู้คนทั่วโลกเสียชีวิตจากโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) มากถึง 74 % หรือคิดเป็น 45 ล้านคนในปี พ.ศ. 2563 ส่งผลให้ในปัจจุบันเวชศาสตร์ป้องกัน (Preventive Medicine)ศาสตร์ทางการแพทย์ที่ให้ความสำคัญกับการป้องกันโรค เพื่อการดูแลสุขภาพองค์รวมเข้ามามีบทบาทในการดูแลสุขภาพในยุคปัจจุบันมากยิ่งขึ้น การตรวจสุขภาพเชิงป้องกัน(Preventive Check-up)ช่วยเปิดโอกาสให้สามารถคัดกรองโรคและความผิดปกติได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้นเพื่อป้องกันและหลีกเลี่ยงภาวะแทรกซ้อนและปัญหาทางสุขภาพร้ายแรงที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต

ข้อมูลจากสถาบันโกลบอลเวลเนส (Global Wellness Institute; GWI) รายงานว่า ในปีพ.ศ. 2563 ภาคสาธารณสุข เวชศาสตร์ป้องกัน และการแพทย์เฉพาะบุคคล (Public Health,Prevention, & Personalized Medicine) สร้างรายได้ 375,400 ล้านเหรียญสหรัฐฯโดยมีภาคสาธารณสุขและเวชศาสตร์ป้องกัน (Public Health and Preventive Medicine)ถือครองตลาดสูงถึง 92% คิดเป็นมูลค่า 344,100 ล้านเหรียญสหรัฐฯและการแพทย์เฉพาะบุคคล (Personalized Medicine) 31,200 ล้านเหรียญสหรัฐฯถึงแม้การแพทย์เฉพาะบุคคลจะมีมูลค่าตลาดน้อยกว่า แต่ระหว่างปี พ.ศ. 2562 – 2563กลับมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีสูงถึง 11%จากตัวเลขดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าผู้คนทั่วโลกต่างหันมาให้ความสนใจการดูแลสุขภาพเชิงป้องกันมากยิ่งขึ้น

คุณหมอแอมป์เปรียบเทียบสุขภาพเหมือนกับรถยนต์บางคนขับรถคันโปรดไปโดยไม่เคยตรวจเช็คระยะ เมื่อวันหนึ่งรถเกิดความเสียหายก็ต้องเสียเวลา เสียเงินทองไปกับการซ่อมแซม ยังดีที่รถยนต์ยังมีอะไหล่สำรองทดแทนแต่สุขภาพของคนเรานั้น เมื่อเกิดความเสียหาย เราไม่มีอะไหล่ทดแทน แม้รักษาได้แต่ไม่อาจกลับมามีสภาพดีสมบูรณ์แข็งแรงได้เหมือนเดิม

การตรวจสุขภาพเชิงป้องกัน ก้าวหน้าไกลกว่าการตรวจเช็คระยะรถยนต์ตามปกติแต่เหมือนกับการตรวจสภาพรถแข่งโดยทีมผู้เชี่ยวชาญที่รู้ข้อมูลของรถคันนี้อย่างละเอียดเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของรถยนต์ให้ทำงานได้อย่างเต็มที่และทำให้รู้ว่ารถคันนี้จะวิ่งไปได้ไกลมากแค่ไหนเพราะ “สุขภาพคือสมบัติที่สำคัญที่สุด” คุณหมอแอมป์กล่าว

เรามีครอบครัวที่เรารักมีพ่อแม่ มีลูก มีคนที่เราห่วงใย เพราะฉะนั้นรถยนต์คันนี้จะพังไม่ได้การตรวจสุขภาพเชิงป้องกันจึงเหมือนกับการนำร่างกายที่รักของเราไปตรวจเช็คกับทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้ได้ข้อมูลอย่างละเอียดครบถ้วน นำไปใช้วางแผนรักษาสุขภาพให้อยู่อย่างแข็งแรง ยืนยาว อย่างมีคุณภาพการตรวจสุขภาพเชิงป้องกัน มุ่งเน้นที่การดูแลคนสุขภาพดีไม่ให้เจ็บป่วยต่างกับการรักษาโรคที่เป็นการดูแลคนป่วยให้หายดี ฉะนั้นการตรวจสุขภาพเชิงป้องกันจะมีความแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับ อายุ เพศและสภาวะของร่างกายทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะประเมินประวัติสุขภาพโดยละเอียด เพื่อวางแผนการตรวจสุขภาพตลอดจนการดูแลสุขภาพที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคลมากที่สุด

ในยุคปัจจุบันที่วิทยาศาสตร์การแพทย์พัฒนาไปอย่างมาก การตรวจสุขภาพเชิงป้องกันจึงมีหัวข้อต่างๆมากมาย ยกตัวอย่างดังนี้

1. การตรวจสุขภาพเพื่อคัดกรองความเสี่ยงของการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง

กลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (Non-Communicable disease; NCDs) ได้แก่โรคเบาหวาน, โรคความดันโลหิตสูง, โรคหลอดเลือดสมองและหลอดเลือดหัวใจ,โรคมะเร็ง, โรคถุงลมโป่งพอง, โรคอ้วนกลุ่มโรคเหล่านี้มักมีสาเหตุมาจากพฤติกรรมเสี่ยงในชีวิตประจำวันไม่ว่าจะเป็นการรับประทานอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ ขาดการออกกำลังกายการสูบบุหรี่หรือการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ไปจนถึงความเครียดเรื้อรัง (Chronicstress) ที่สั่งสมเป็นเวลานาน การตรวจสุขภาพด้วยวิธีการเจาะเลือด ตรวจปัสสาวะไปจนถึงการใช้เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ที่ทันสมัยมาช่วย เช่น MRI, CT scan, DEXA  scan เป็นต้น ช่วยให้สามารถระบุภาวะสุขภาพในปัจจุบันรวมถึงช่วยสร้างความตระหนักถึงความสำคัญของการดูแลสุขภาพและการมีพฤติกรรมที่ดีอีกทั้งช่วยให้ทีมแพทย์วางแผนการรักษาเพื่อป้องกันการเกิดโรคในอนาคตการตรวจคัดกรองโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ได้แก่

 การตรวจระดับน้ำตาลในเลือด เพื่อทำการคัดกรองโรคเบาหวานประเภทที่ 2 ซึ่งเกิดจากภาวะดื้ออินซูลิน (Insulin resistance)โดยทำการคัดกรองระดับน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหาร และระดับน้ำตาลสะสม(Glycated hemoglobin A1C; HbA1C) ร่วมกับระดับฮอร์โมนอินซูลินในเลือด(Fasting Insulin) เพื่อใช้ในการวินิจฉัยหรือติดตามภาวะดื้อต่ออินซูลินแม้ว่ายังไม่เคยมีอาการแสดงถึงโรคเบาหวานมาก่อนก็ตาม

 การวัดระดับไขมันในเลือด คอเลสเตอรอลรวม (Total cholesterol), ไตรกลีเซอไรด์(Triglyceride),  ไขมันแอลดีแอล (LDL), และไขมันเฮชดีแอล (HDL),และการตรวจโปรตีนซึ่งเป็นองค์ประกอบหลักของคอเลสเตอรอล ได้แก่ ApolipoproteinA, Apolipoprotein B, Lipoprotein (a) ทำให้ทราบความเสี่ยงทางด้านสุขภาพระดับไขมันที่สูงเป็นระยะเวลานาน นำไปสู่การเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด(Cardiovascular disease) ทั้งโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke)ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดอัมพฤกษ์ อัมพาตและการเสียชีวิตอันดับหนึ่งในประเทศไทย 
 ความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด ด้วยการตรวจ High Sensitivity C-ReactiveProtein (hsCRP), ค่าการตกตะกอนของเม็ดเลือดแดง (ESR), ไฟบริโนเจน(Fibrinogen) และ เฟอร์ริติน (Ferritin) เป็นค่าบ่งชี้การอักเสบหากค่าดังกล่าวในเลือดเพิ่มสูงขึ้นจะสัมพันธ์กับความเสี่ยงของการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ,การตรวจวัดระดับของโฮโมซิสเตอีน (Homocysteine)เพราะระดับโฮโมซิสเตอีนที่สูงกว่าค่าปกติ จะทำลายผนังด้านในของหลอดเลือดโดยเฉพาะหลอดเลือดขนาดเล็ก เพิ่มความเสี่ยงต่อการอุดตันของหลอดเลือด
 การตรวจค่าการทำงานของตับ จากเอนไซม์ AST (SGOT) และ ALT (SGPT)ที่ร่างกายสร้างขึ้นเมื่อตับเกิดความเสียหาย เอนไซม์ Alkaline phosphatase (ALP),Gamma GT (GGT) และบิลิรูบิน (bilirubin) เพื่อดูความผิดปกติของตับและการอุดตันของท่อน้ำดีร่วมกับการตรวจทางรังสีที่ตับและช่องท้อง ได้แก่ อัลตราซาวด์ช่องท้อง (AbdominalUltrasound) โดยใช้คลื่นความถี่ และการตรวจด้วยเครื่องแม่เหล็กไฟฟ้า หรือการ MRIช่องท้องความละเอียดสูงแบบไม่ฉีดสี (MRI Whole Abdomen Non-contrast)ช่วยในการประเมินความผิดปกติต่างๆ เช่น เปอร์เซ็นต์ไขมันพอกตับ,ภาวะไขมันพอกตับ (Fatty Liver) และภาวะไขมันพอกตับอ่อน (Fatty Pancreas),ก้อนเนื้อที่ผิดปกติ หรือเนื้องอกที่อาจพัฒนากลายเป็นมะเร็ง,ความผิดปกติที่ท่อน้ำดีและนิ่วในถุงน้ำดี, ฝีในตับและการไหลเวียนของเส้นเลือดภายในช่องท้อง
การตรวจสุขภาพตับอย่างสม่ำเสมอ ช่วยให้สามารถวางแผนป้องกันไม่ให้ตับแข็งและตับอ่อนแข็ง ซึ่งถือเป็นความเสียหายอย่างถาวรของเนื้อเยื่อตับรวมถึงช่วยให้ค้นพบมะเร็งได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้นเพื่อให้เกิดการรักษาได้อย่างทันท่วงทีไม่ให้เกิดการแพร่กระจายของมะเร็ง
 การตรวจการทำงานของไต สามารถประเมินได้จากโปรตีนที่รั่วออกมาในปัสสาวะ(Microalbuminuria), ระดับ BUN (Blood Urea Nitrogen) ในเลือดและค่าอัตราการกรองของไต หรือ eGFR (Estimated Glomerular Filtration Rate)หากไตมีความผิดปกติอาจพบโปรตีนในปัสสาวะ ค่า BUN เพิ่มสูงขึ้นหรืออัตราการกรองของไตเริ่มลดลง

2. การตรวจวัดระดับวิตามิน แร่ธาตุ และสารต้านอนุมูลอิสระ

วิตามิน แร่ธาตุ และสารต้านอนุมูลอิสระ (Vitamins, Minerals and Antioxidant)ตัวอย่างเช่น วิตามินเอ, วิตามินซี, วิตามินอี, เบตาแคโรทีน, แอลฟาแคโรทีน, ไลโคปีน(Lycopene) , ลูทีน (Lutein), ซีแซนทีน (Zeaxanthin)ล้วนมีความสำคัญต่อระบบการทำงานในร่างกายทำหน้าที่ป้องกันหรือชะลอกระบวนการเกิดอนุมูลอิสระ (Free radicals)ที่เป็นสาเหตุสำคัญของการเสื่อมสภาพภายในร่างกาย ปัจจุบันผู้คนหันมารับประทานวิตามินและแร่ธาตุเสริมกันเป็นจำนวนมากแต่เนื่องจากร่างกายของแต่ละบุคคลมีความแตกต่างกัน การตรวจระดับวิตามิน แร่ธาตุและสารต้านอนุมูลอิสระในเลือด หรือ การแพทย์แบบจำเพาะบุคคล (Precision andPersonalized Medicine)ช่วยให้สามารถเลือกเสริมตามที่ร่างกายต้องการได้อย่างตรงจุด

“รายการไหนที่ขาดเราสามารถแก้ไขโดยการปรับการรับประทานอาหารให้ตรงตามผลเลือดของเรา เพื่อซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอรายการไหนที่ระดับวิตามินในเลือดดีอยู่แล้ว ก็ไม่ต้องไปเสริมจนเกิดโทษแก่ร่างกาย”

คุณหมอแอมป์อธิบายให้เห็นภาพชัดเจนมากขึ้นดังนั้นในยุคที่ประชาชนนิยมการรับประทานวิตามินและอาหารเสริมกันมากแต่ยังมีคำถามสงสัยว่าควรรับประทานวิตามินตัวไหน คุณหมอแอมป์ให้คำแนะนำว่า“เราควรรู้ก่อนว่าร่างกายเราขาดวิตามินและสารอาหารตัวใดบ้างหากการรับประทานอาหารปกติยังไม่สามารถชดเชยสารอาหารที่ขาดได้แนะนำให้เลือกวิตามินที่ปรับมาจากผลเลือดของเราเพราะการรับประทานวิตามินมากไปหรือน้อยไปก็ก่อให้เกิดผลเสียได้เช่นกัน”

การตรวจเลือดช่วยป้องกันการได้รับวิตามินแร่ธาตุที่มากเกินความจำเป็นช่วยให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญรู้ถึงสภาวะสุขภาพปัจจุบันและออกแบบอาหารเสริมเฉพาะบุคคล (Customized Supplements)ในการรักษาระดับสารอาหารต่างๆ ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมเสริมสร้างร่างกายให้ทำงานได้อย่างเป็นปกติ

3. การตรวจคัดกรองมะเร็งทั้งในเพศหญิงและเพศชาย 

เนื่องจากมะเร็งมักจะไม่แสดงอาการในระยะเริ่มต้น การตรวจหาสารบ่งชี้มะเร็ง
(Tumor marker) จากเลือด จึงมีส่วนช่วยคัดกรองความเสี่ยงของโรคมะเร็งบางชนิด เช่น
1. ค่า Alpha-fetoprotein (AFP) ที่มักมีค่าสูงกว่าปกติในผู้ป่วยมะเร็งตับ(Hepatocellular carcinoma) รวมถึงมะเร็งของรังไข่ หรือ อัณฑะ ชนิดembryonal cell carcinoma
2. ค่า Carcinoembryonic antigen (CEA)ซึ่งมักสูงผิดปกติผู้ป่วยมะเร็งของระบบทางเดินอาหารต่างๆ, มะเร็งตับอ่อน,มะเร็งปอด, มะเร็งรังไข่ มะเร็งเต้านม โดยเฉพาะ มะเร็งลำไส้ใหญ่ จะพบ ค่าCEA สูง บ่อยกว่ามะเร็งชนิดอื่นๆ
3. ค่า Prostate-specific antigen (PSA)
ในเพศชายเพื่อดูความเสี่ยงมะเร็งต่อมลูกหมากและภาวะต่อมลูกหมากโตที่ไม่ใช่มะเร็ง (benign prostatic hyperplasia, BPH)
4. ค่า Cancer antigens (CA15-3) เพื่อคัดกรองมะเร็งเต้านมในผู้หญิง 
5. ค่า Cancer antigens (CA125) เพื่อคัดกรองมะเร็งรังไข่ชนิด non-mucinous type
6. ค่า Cancer antigens (CA19-9) เพื่อคัดกรองมะเร็งตับอ่อนและมะเร็งของท่อน้ำดี 

การตรวจคัดกรองมะเร็งอื่นๆ ได้แก่
 การตรวจแปปสเมียร์  (Pap Smear หรือ Pap Test)เพื่อคัดกรองมะเร็งปากมดลูกโดยแพทย์จะใช้เครื่องมือสอดเข้าไปในช่องคลอดเพื่อเก็บเซลล์จากมดลูกส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการเพื่อตรวจหาเซลล์ที่ผิดปกติหรือเซลล์ที่อาจพัฒนากลายเป็นเซลล์มะเร็ง รวมถึงการตรวจหาเชื้อไวรัส
HPV (Human papillomavirus) ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงการเกิดมะเร็งปากมดลูกได้
 EDIM (Epitope Detection in Monocytes)เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่ช่วยในการคัดกรองความเสี่ยงมะเร็งในระยะเริ่มแรก(Early detection cancer)โดยใช้การตรวจเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดโมโนไซต์ที่ถูกกระตุ้นกลายเป็นแมคโครฟาจ (macrophage) ซึ่งทำหน้าที่จับกินสิ่งแปลกปลอมทั่วร่างกายไม่ว่าจะเป็น แบคทีเรีย เซลล์เสื่อมสภาพ รวมถึงเซลล์มะเร็งจึงสามารถพบชิ้นส่วนของเซลล์ที่ผิดปกติอยู่ภายในเซลล์แมคโครฟาจได้ส่วนสำคัญในวิธีการตรวจวัดนี้จะใช้ตัวบ่งชี้ 2 ตัว คือ DNaseX และ TKTL1Gene เพื่อนำมาคำนวณเป็นคะแนนใช้ดูความเสี่ยงของการมีเซลล์ผิดปกติที่มีโอกาสพัฒนาไปเป็นเซลล์มะเร็งได้

4. การตรวจสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด

นอกจากการตรวจระดับน้ำตาลและไขมันในเลือดแล้วการตรวจสุขภาพหัวใจและหลอดเลือดเพื่อให้ละเอียดมากขึ้นนั้นยังมีอีกหลายวิธี เช่น

- การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (Electrocardiogram; EKG)เพื่อดูกระแสไฟฟ้าที่หัวใจผลิตออกมาขณะหัวใจหดและคลายตัวว่ามีความผิดปกติหรือไม่
- การตรวจสมรรถภาพการไหลเวียนของหลอดเลือดแดงส่วนปลาย (AnkleBrachial Index;  ABI) เพื่อค้นหาหลอดเลือดส่วนปลายอุดตัน
- การทดสอบสมรรถภาพหัวใจด้วยการออกกำลังกาย (Exercise stress test;EST) เพื่อดูการเปลี่ยนแปลงคลื่นไฟฟ้าหัวใจขณะออกกำลังกาย

- การตรวจหัวใจด้วยคลื่นความถี่สูง (Echocardiogram; ECHO)เพื่อประเมินการทำงานของหัวใจ  เช่น การบีบตัวของกล้ามเนื้อหัวใจ เป็นต้น
- การตรวจหาคราบหินปูนที่หลอดเลือดแดงของหัวใจ (Coronary ArteryCalcium Scan; CAC) สามารถทำได้โดยไม่ต้องฉีดสี (Non-contrast)เพื่อใช้บ่งชี้ความเสี่ยงของการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบและกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด
โดยแปลผลออกมาเป็นตัวเลข ซึ่งตัวเลขที่มากขึ้นนั้นหมายถึงความเสี่ยงที่หลอดเลือดหัวใจจะตีบหรือตันมากขึ้น
- การตรวจอัลตราซาวน์เพื่อตรวจดูหลอดเลือดแดงคาโรติด (Ultrasound CarotidArtery) บริเวณคอทั้งสองข้าง เพื่อดูการไหลเวียนของเลือด และคราบหินปูน (Calcifiedplaque) ทำให้เห็นว่าหลอดเลือดมีการตีบตันหรือไม่

5. การตรวจความหนาแน่นของมวลไขมัน มวลกล้ามเนื้อและมวลกระดูก

การตรวจวัดองค์ประกอบร่างกาย (Body Composition Analysis)เพื่อวิเคราะห์ความหนาแน่นของมวลกระดูก มวลไขมัน และมวลกล้ามเนื้อ ด้วยเครื่องDEXA scan ทำให้ทราบข้อมูลของร่างกายมากกว่าการใช้น้ำหนักตัวเพียงอย่างเดียวเนื่องจากคนที่มีน้ำหนักตัวเท่ากัน สามารถมีองค์ประกอบร่างกายที่แตกต่างกันได้การตรวจวัดองค์ประกอบร่างกาย จึงเพิ่มความแม่นยำในการบ่งชี้ภาวะโรคอ้วนโดยในผู้ชายวัยกลางคน ไม่ควรมีเปอร์เซ็นต์ไขมันเกิน 28% และในผู้หญิง ไม่ควรเกิน32 % รวมไปถึงการตรวจความหนาแน่นของมวลกระดูก
เพื่อดูความเสี่ยงของโรคกระดูกพรุน (Osteoporosis)รวมถึงเพื่อรักษามวลกล้ามเนื้อให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมอยู่เสมอป้องกันการพลัดตกหกล้มที่อาจเกิดขึ้นได้ภาพเครื่องตรวจวิเคราะห์องค์ประกอบของร่างกายภาพตัวอย่างผลการตรวจมวลกระดูก ไขมันและ (Dual Energy X-ray
Absorptiometry; DEXA ) กล้ามเนื้อ โดยเครื่อง Dexaสำหรับผู้ที่มีเปอร์เซ็นต์ไขมันเกินเกณฑ์ที่กำหนดสามารถวางแผนร่วมกับแพทย์และทีมงาน Lifestyle Medicine ในการดูแลรักษาลดมวลไขมันได้อย่างเหมาะสมกับสุขภาพร่างกายของแต่ละบุคคลต่อไป

6. การตรวจระดับฮอร์โมนต่างๆ

ฮอร์โมนคือ สิ่งที่ร่างกายสร้างขึ้นเพื่อใช้ในการสื่อสารไปยังส่วนต่างๆของร่างกาย ในร่างกายมนุษย์มีฮอร์โมนมากกว่า 50ชนิด ช่วยในการควบคุมกระบวนการต่างๆ ในร่างกาย 
 ฮอร์โมนเพศ เช่น เทสโทสเตอโรน (testosterone), เอสโตรเจน (Estrogen),โปรเจสเตอโรน (Progesterone)อาจเสียสมดุลตามอายุที่เพิ่มขึ้นและก้าวเข้าสู่วัยทองการขาดสมดุลของฮอร์โมนเพศ ส่งผลต่อทั้งร่างกายและจิตใจ เช่น ร้อนวูบวาบนอนไม่หลับ หงุดหงิด อ่อนเพลีย ซึมเศร้า อารมณ์แปรปรวน นอนหลับไม่สนิท 
 ฮอร์โมนการเผาผลาญมีความเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงของน้ำหนักตัวและปัญหาโรคอ้วนไม่ว่าจะเป็นคอร์ติซอล (Cortisol) ที่สามารถกระตุ้นความหิว, เลปติน (Leptin)ที่เป็นฮอร์โมนอิ่ม ควบคุมความอยากอาหาร, โกรทฮอร์โมน (Growth Hormone)ช่วยฟื้นฟูและซ่อมแซมสภาพเซลล์ของร่างกาย มีส่วนช่วยในการชะลอวัย,ไทรอยด์ฮอร์โมน (Thyroid Hormone)ช่วยควบคุมการเผาผลาญพลังงานและระดับอุณหภูมิของร่างกาย 
 ฮอร์โมนการนอนหลับ เป็นตัวควบคุมคุณภาพการนอนหลับและนาฬิกาชีวภาพ(Circadian rhythm)เพื่อให้ร่างกายได้มีโอกาสฟื้นฟูและซ่อมแซมในช่วงนอนหลับ เช่น เมลาโทนิน(Melatonin), คอร์ติซอล (Cortisol), และโกรทฮอร์โมน (Growth Hormone)เป็นต้น
 ฮอร์โมนความเครียด บ่งบอกสภาวะความเครียดของจิตใจเราได้ผลิตจากต่อมหมวกไต (Adrenal Gland) มีฮอร์โมนที่สำคัญอยู่ 2 ชนิด ได้แก่คอร์ติซอล (Cortisol) หากพบในระดับที่สูงเกินไป แสดงว่ามีภาวะเครียดและอีกตัวหนึ่งคือ ฮอร์โมนที่มีชื่อว่า DHEA (Dehydroepiandrosterone)เป็นฮอร์โมนต้านความเครียด คนที่มีฮอร์โมนคอร์ติซอลสูง และฮอร์โมน DHEAต่ำ จะมีความเสี่ยงให้เกิดสารอนุมูลอิสระ(Free radical) มากขึ้นก่อให้เกิดการอักเสบภายในร่างกายมากขึ้น การตรวจระดับฮอร์โมนต่างๆ จะทำให้ทราบว่า ฮอร์โมนใดขาดสมดุลเพื่อจะนำไปสู่การฟื้นฟู ด้วยการปรับเปลี่ยนการดำเนินชีวิต การเสริมยาและวิตามินต่างๆไปจนถึงการวางแผนดูแลสุขภาพให้แข็งแรงในอนาคต

7. การตรวจสายตาและการได้ยินในปัจจุบันผู้คนใช้เวลาอยู่กับหน้าจอโทรศัพท์มือถือคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ เป็นเวลาหลายชั่วโมงจนอาจลืมไปว่าแสงสีฟ้าจากหน้าจอส่งผลเสียต่อร่างกาย เช่นคุณภาพการนอนหลับที่ลดลงเพราะแสงสีฟ้ารบกวนการหลั่งเมลาโทนินและนาฬิกาชีวภาพ (circadian rhythm)การนอนหลับที่ไม่สนิทอาจนำไปสู่โรคไม่ติดต่อเรื้อรังอื่นๆ ได้อีกด้วย เช่น โรคอ้วนโรคหัวใจ และโรคเบาหวาน และยังส่งผลเสียต่อจอประสาทตาโดยตรงเพราะเรามีตาและหูเพียงคู่เดียวในชีวิตการตรวจสุขภาพตาและหูเป็นประจำจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างมากการตรวจสุขภาพสายตาเบื้องต้น เพื่อตรวจสอบปัญหาที่อาจเกิดขึ้นกับดวงตา เช่นภาวะเบาหวานขึ้นตา หรือผลจากความดันโลหิตสูง, การเกิดต้อต่างๆ เช่น ต้อหิน(Glaucoma), ต้อกระจก (Cataract), ต้อลม (Pinguecula), ต้อเนื้อ (Pterygium)เป็นต้น และการตรวจระดับการได้ยิน
เป็นการตรวจการทำงานของหูและระบบโสตประสาทเพื่อหาระดับการได้ยินการทดสอบความสามารถในการมองเห็นและการได้ยินช่วยให้มีข้อมูลเบื้องต้นในกรณีที่มีอาการผิดปกติเกี่ยวกับดวงตาและหูที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

8. การตรวจสุขภาพผิวพรรณ

การตรวจวิเคราะห์สภาพผิว (Skin Analysis) ด้วยเครื่อง Complexion analysisphotography system เป็นการระบุประเภทของผิวที่เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละบุคคลทำให้ทราบถึงสาเหตุที่แท้จริงของปัญหาผิว ข้อดี และ ข้อบกพร่องโดยกล้องมีความละเอียดสูง ทำให้สามารถตรวจวิเคราะห์ผิวชั้นบนและผิวชั้นที่ลึกลงไปโดยจะสามารถเห็นปริมาณรอยดำ รอยแดง ฝ้า กระ การอักเสบของผิวความกว้างของรูขุมขน ริ้วรอย สารที่ทำให้เกิดสิวบนใบหน้า UV Spotsความไม่สม่ำเสมอของสีผิว และยังสามารถบอกอายุผิวที่แท้จริงของแต่ละบุคคลได้อีกด้วย​เพื่อให้แพทย์สามารถให้คำแนะนำและการรักษาที่ตรงจุดรวมถึงเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับผิวมากที่สุดอีกด้วย

9. การตรวจรหัสพันธุกรรม (Genetic Testing)

ร่างกายมนุษย์ประกอบด้วยเซลล์ต่างๆ หลายล้านเซลล์โดยในแต่ละเซลล์จะมีสายพันธุกรรมซึ่งเป็นตัวกำหนดลักษณะความแตกต่างเฉพาะบุคคล การตรวจพันธุกรรมช่วยให้ค้นหาความผิดปกติของยีนลึกลงไปถึงดีเอ็นเอ(DNA) ช่วยประเมินความเสี่ยงสุขภาพในการเกิดโรคต่างๆ เช่น โรคมะเร็งโรคหัวใจและหลอดเลือด โรคเบาหวานรวมถึงยีนยังเป็นตัวกำหนดพฤติกรรมสุขภาพที่ส่งผลต่อการมีอายุที่ยืนยาวช่วยให้เราสามารถวางแผนการดูแลสุขภาพได้ตรงจุดและเหมาะสมกับบุคคลมากยิ่งขึ้น (Personalized Medicine)

การตรวจสุขภาพเชิงป้องกันทำให้ค้นพบสาเหตุและความผิดปกติของร่างกายได้ตั้งแต่ยังไม่มีอาการแสดง ช่วยให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญมีข้อมูลสุขภาพอย่างละเอียดเพื่อนำไปสู่การวางแผนปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตอย่างมีคุณภาพ ตามหลักเวชศาสตร์วิถีชีวิต(Lifestyle medicine) โดยมีแพทย์และทีมสหวิชาชีพเข้ามาร่วมดูแลอย่างใกล้ชิด (Health andwellness coaches; HWCs) อาทิ นักกำหนดอาหาร นักกายภาพบำบัดเทรนเนอร์การออกกำลังกาย ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต เป็นต้นเป็นการออกแบบการดูแลสุขภาพเฉพาะบุคคล (Personalised care)แตกต่างจากการรักษาทั่วไป

ในบทความวิชาการของคุณหมอ Perlman และคณะ จาก Mayo Clinicได้กล่าวถึงความหมายของ Health and wellness coaching (HWCs) ไว้ว่าเป็นการดูแลโดยมีผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง ช่วยให้ผู้ป่วยกำหนดเป้าหมายของตัวเองร่วมกับกระบวนการเรียนรู้ร่วมกัน และติดตามการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมทั้งหมดนี้อาศัยความสัมพันธ์อันดี ระหว่างผู้ป่วยกับทีมสหวิชาชีพโดยทีมสหวิชาชีพเป็นทีมวิชาชีพทางด้านสาธารณสุขที่ได้รับการอบรมเกี่ยวกับทฤษฎีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม การสร้างแรงจูงใจ และเทคนิคการสื่อสารเพื่อช่วยให้ผู้ป่วยมีการเปลี่ยนแปลงทางสุขภาพอย่างยั่งยืน เรียกได้ว่า เป็น Personalised Careแตกต่างจากการพบแพทย์แบบทั่วไป การดูแลในรูปแบบ Health and wellnesscoaching อาจใช้เวลาเฉลี่ย 45-60 นาทีต่อสัปดาห์ เป็นเวลาอย่างน้อย 3 เดือนเพื่อให้เกิดการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตที่สอดคล้องกับผู้ป่วยมากที่สุดบทความวิชาการในวารสาร American Journal of Lifestyle Medicineที่รวบรวมงานวิจัยเกี่ยวกับ Health and wellness coaching ได้สรุปผลการวิจัยว่า วิธีการHealth and wellness coaching มีส่วนช่วยลดน้ำหนัก ลดค่าความดันโลหิตลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและโรคเบาหวานได้

ดังนั้นคุณหมอแอมป์ จึงมีเคล็ดลับง่ายๆในการเริ่มต้นดูแลสุขภาพ ดังนี้

1. การรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ เหมาะสมกับความต้องการของร่างกาย

2. การออกกำลังกาย เสริมสร้างสมรรถภาพทางกายและการใช้ชีวิต
3. การนอนหลับที่มีคุณภาพ ลดกิจกรรมที่ทำให้นอนหลับไม่สนิท
เข้าใจธรรมชาติการนอนหลับของร่างกาย
4. การจัดการกับความเครียด สร้างสภาวะทางอารมณ์ที่ดี มองโลกในเชิงบวก
5. การหลีกเลี่ยงพฤติกรรมอันตรายต่างๆ เช่น การสูบบุหรี่ การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

เพราะการมีสุขภาพที่ดี มีอายุยืนยาวอย่างมีคุณภาพลดความเสี่ยงการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรังต่างๆต้องอาศัยการดูแลสุขภาพอย่างครอบคลุมทุกมิติและเหมาะสมกับแต่ละบุคคล เพื่อสุขภาพกายสุขภาพใจที่แข็งแรง

คุณหมอแอมป์ฝากทิ้งท้ายไว้ว่า “เพราะสุขภาพดี คือ สมบัติที่สำคัญที่สุด” นั่นเองBDMS Wellness Clinic มุ่งมั่นพัฒนาและวิจัยเรื่องสุขภาพเพื่อมอบเป็นของขวัญสุขภาพแก่คนไทยทุกคน เพราะสุขภาพที่ดี คือของขวัญที่ดีที่สุด Livelonger, Healthier and Happier