Think In Truth
เขตเลือกตั้งที่สี่มีล้างตาส่อสนามเดือด!! ชิงบัลลังก์เป็นส.ส.ฉะเชิงเทรา
ฉะเชิงเทรา-เขตเลือกตั้งที่สี่ ถือเป็นพื้นที่แห่งการแข่งขัน ช่วงชิงกันเป็น ส.ส.ฉะเชิงเทรา ระหว่างขั้วการเมืองที่หลากหลาย ทั้งอดีตแชมป์เก่าเจ้าของพื้นที่แต่ยุคก่อน และแชมป์ใหม่ที่เพิ่งเคยได้พื้นที่ไปครองเมื่อไม่นานมานี้ รวมทั้งอดีตแชมป์ในตำนานตระกูลดังผู้มากบารมี ที่ต่างหวนคืนพื้นที่กลับมาขอคะแนน เพื่อแย่งกันเข้าไปเป็นผู้แทนในสภากันอย่างคึกคัก ท่ามกลางกระแสเสียงของมวลชนที่ต่างคนต่างมีมุมมองที่แตกต่างกันไป ระหว่างอาชีพยุคสมัยและวัยที่ต่างกัน
เริ่มจากว่าที่ผู้แทนคนหนุ่มหน้าใสหัวใจประชาธิปัตย์ ผู้สมัครหมายเลข 1 คือ นายศุภกร นพศิริ ผู้มีอนาคตทางการเมืองที่ยาวไกลด้วยวัยเพียง 33 ปี ทั้งยังมีหน้าตาที่ดูดีเป็นหนุ่มหล่อรอเข้าไปประดับวงการเมืองไทยในสภา แต่ทว่าศึกเลือกตั้งครั้งนี้มีดีกรีการแข่งขันสูง ทั้งจากเจ้าถิ่นมากมายหลายสำนัก และถือเป็นงานหนักของมือใหม่ทางการเมืองจึงเป็นเรื่องของการเข้ามาแสวงหาประสบการณ์
ต่อด้วยหนุ่มผู้กลายเป็นอดีต ส.ส.เมื่อวันวาน ที่เพิ่งก้าวพ้นผ่านลงมาจากสภาได้ไม่นาน คือ นายจิรัฏฐ์ ทองสุวรรณ์ หรือหนุ่มซัน วัย 34 ปี ผู้มีตำนานแจ้งเกิดเป็นม้ามืดเข้าไปประดับในวงการในสภามาแล้ว 1 สมัย หลังจากที่ได้เคยเป็น ส.ส.หนุ่มหน้าใหม่ ขวัญใจหนุ่มสาวชาวโรงงาน ผู้ทะยานเกิดขึ้นมาได้ด้วยกระแสแห่งพลังของพรรคอนาคตใหม่ในอดีต ทั้งยังขีดเส้นทางเดินต่อด้วยการสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส.ในนามพรรคก้าวไกล ที่ได้หมายเลข 2 ในรอบนี้อีกครั้ง
แม้การสมัครรับเลือกตั้งครั้งนี้อาจต้องเหนื่อยฟรี แต่ก็ยังมีคนชอบในแนวทางการเมืองที่ยกเรื่องของการเดินหน้านโยบายที่ไม่เหมือนใคร ท่ามกลางปัญหาและอุปสรรค และกระแสของคนเก่าที่ยังคงเฝ้ารอคอยเข้ามาทักท้วงทวงคืนพื้นที่ อีกทั้งด้วยนโยบายที่มีมาของพรรค ยังคงเป็นอุปสรรคของคนส่วนใหญ่ จนอาจทำให้ฝันที่มองเห็นได้แต่เพียงรำไร เพราะตั้งธงเอาไว้ที่ห่างไกลจนสุดปลายทาง ในความพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงประเทศไทย จนอาจไม่มีใครกล้าเดินตาม
ตามด้วยหนุ่มใหญ่ผู้สูงวัยขึ้นมาจากกลุ่มแรก คือ จ่าเอกยศสิงห์ เหลี่ยมเลิศ ผู้สมัครหมายเลข 3 ในวัย 57 ปี จากพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่ยังไม่ขยาดกับเส้นทางการเมืองที่พลิกแพลง จากอดีตผู้เคยแข่งขันอยู่ฝ่ายตรงข้ามในสนาม นายก อบจ. กลับมาเป็นผู้สานต่อในแนวทางเดินงานให้แก่ลุงตู่ ได้เดินไปสู่สภาในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกหน แม้จะเป็นคนหน้าใหม่ในเส้นทางการเมืองสายนี้ แต่ถือเป็นผู้มีประวัติทางการเมืองในระดับท้องถิ่นมายาวนาน ในตำแหน่งนายก อบต. ต่อเนื่องด้วยนายกฯ เทศบาลตำบลบางผึ้งถึง 4 สมัย
สำหรับการลงสมัครแข่งขันในสนามนี้ ยังมีท่าทีเป็นรองจากสองกลุ่มคนบ้านใหญ่ที่ถือไพ่เหนือกว่าใน 2 ตระกูลดัง ทั้งนายวุฒิพงศ์ ฉายแสง ผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทย ในวัย 64 ปี หมายเลข 5 ที่คาดการณ์กันไว้ว่าจะได้เป็นผู้มีชัยในสนามเลือกตั้งหนนี้ แต่ก็ยังมี พล.ต.ท.พิทักษ์ จารุสมบัติ อดีต ส.ส. 1 สมัยที่ลงไล่มาสมัครในนามของพรรคพลังประชารัฐ หมายเลข 7 ในวัย 73 ปี ผู้เคยพลาดท่าเสียโอกาสเพราะความประมาทเมื่อการเลือกตั้งในครั้งที่ผ่านมา ที่เตรียมการเอาไว้ว่าจะกลับเข้ามาทวงคืนพื้นที่ในหนนี้ให้ได้อีกครั้ง
ท่ามกลางความหลากหลายของผู้สมัครในพื้นที่ ที่มีทั้งข้าราชการระดับอดีตปลัดอำเภอชำนาญการ ผู้พยายามสร้างดีกรีให้ดูดีโดดเด่นขึ้นมา อย่าง น.ส.สาริศา แสงจันทร์ ผู้สมัครหมายเลข 6 พรรคภูมิใจไทย ในวัย 60 ปี ทั้งยังประกอบด้วยบุคคลทั่วไปที่ฝันใฝ่มีใจอยากได้เป็น ส.ส. คือ นายอนุเทพ ชาติเชษฐ์พงษ์ ผู้สมัครหมายเลข 4 พรรคเสรีรวมไทย ด้วยวัยเพียง 27 ปี นายสุระเด่น สุวรรณะ ผู้สมัครหมายเลข 8 พรรคไทยศรีวิไลย์ ในวัย 62 ปี และนายพรชัย หาญชนะ ผู้สมัครหมายเลข 9 พรรคพลังปวงชนไทย วัย 51 ปี
การเลือกตั้งสนามนี้มีตัวแปรสำคัญ ในการพลิกผลันต่อฐานคะแนนเสียง ทั้งผู้มีหน้าที่ออกไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง และว่าที่ผู้จะถูกเลือกให้เข้าไปทำหน้าที่ ส.ส.ในสภา ท่ามกลางกระแสเสียงที่แปรเปลี่ยนจนยากเกินจะไล่เรียงให้ดูเด่นชัด ทั้งกลุ่มคนผู้เข้ามาอยู่อาศัยใหม่ ที่มีฐานคะแนนเปลี่ยนแปลงไปในพื้นที่อีอีซี ขณะชาวบ้านผู้อยู่ในพื้นที่ ยังคงยึดติดความใกล้ชิดกับอดีตผู้แทนคนเดิมที่มีมาเป็นสำคัญ จึงถือเป็นการห้ำหั่นประชันฐานคะแนนจากกลุ่มของคนหนุ่มสาวชาวโรงงานกว่า 2 พันแห่ง และเจ้าถิ่นพื้นที่ดั้งเดิม ตามที่เคยเกิดปรากฏการณ์ในการเลือกตั้งเมื่อครั้งที่ผ่านมา
สนทะนาพร อินจันทร์/ฉะเชิงเทรา