Biz news
PwCเผย39%แรงงานในเอเชียแปซิฟิก เชื่อไม่รอดถ้าองค์กรยึดติดรูปแบบเดิม

กรุงเทพฯ, 26 มิถุนายน 2566 – PwC เผยรายงานผลสำรวจ Asia Pacific Workforce Hopes and Fears Survey ประจำปี2566 ซึ่งรวบรวมความคิดเห็นของพนักงานในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกจำนวนกว่า 19,500 รายพบ 39% เชื่อว่าองค์กรที่ตนทำงานอยู่จะไม่สามารถอยู่รอดได้มากกว่า 10 ปี หากยังยึดติดกับการทำธุรกิจในรูปแบบเดิม เปรียบได้กับ 53%ของซีอีโอในภูมิภาคที่มีความคิดเห็นเช่นเดียวกันนี้ในรายงานผลสำรวจซีอีโอ ประจำปี 2566 ซึ่งถือเป็นการยืนยันว่าผู้นำธุรกิจจะต้องเร่งสร้างการเปลี่ยนแปลงในระยะยาวเพื่อแก้ไขปัญหาด้านบุคลากร
นาย เรย์มอนด์ ชาว ประธาน PwC ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และสาธารณรัฐประชาชนจีน กล่าวว่า“โลกแห่งความเป็นจริงใหม่สอนเราทุกคนว่า การเปลี่ยนแปลงนั้นเกิดขึ้นตลอดเวลา ขณะที่การแข่งขันยังคงทวีความรุนแรงความเสี่ยงจากการหยุดชะงักก็ยังคงอยู่ และความคาดหวังของสังคมก็เพิ่มสูงขึ้น จึงท้าทายความสามารถในการอยู่รอดของทุกธุรกิจซึ่งหากองค์กรต่าง ๆ ต้องการที่จะเติบโตอย่างแท้จริงในสภาพแวดล้อมที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องก็จะต้องปรับตัวอย่างรวดเร็ว ซึ่งถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่ผู้นำธุรกิจและพนักงานในภูมิภาคนี้ต่างมีวิสัยทัศน์ร่วมกันแม้ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดที่เหมือนกัน แต่หัวใจสำคัญย่อมอยู่ที่บุคลากรเสมอ เราจึงต้องร่วมมือกันสร้างวิธีการใหม่ ๆ ที่เชื่อมโยงถึงกันและกันเพื่อสร้างความไว้วางใจและส่งมอบผลลัพธ์ที่ยั่งยืน”
ทั้งนี้ องค์กรจะสามารถปรับสร้างตัวเองใหม่ได้สำเร็จก็ต่อเมื่อบุคลากรมีส่วนร่วม มีแรงจูงใจและมีความกระตือรือร้นในการให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่แต่กำลังแรงงานในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมีความพร้อมสำหรับการเดินทางนี้หรือไม่? รายงานผลสำรวจของเราได้ระบุถึงหกปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนความพร้อมในการปรับสร้างองค์กรในรูปแบบใหม่ ซึ่งประกอบไปด้วยความอยู่รอดของธุรกิจ ความรู้สึกของพนักงาน ทักษะกำลังแรงงาน เทคโนโลยีใหม่ สภาพแวดล้อมการทำงานและการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศ ผลลัพธ์เหล่านี้ ถือเป็นเครื่องเตือนใจสำหรับบริษัทต่าง ๆ ทั่วทั้งภูมิภาคซึ่งหลายแห่งกำลังต่อสู้กับปัญหาการขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะและความสามารถมานานหลายปี จุดจบของ ‘การลาออกครั้งใหญ่’ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกยังคงห่างไกลพนักงานในภูมิภาคนี้ มีแนวโน้มที่จะลาออกจากงานมากกว่าปีที่แล้ว ซึ่งเมื่อมองย้อนกลับไป ถือเป็นช่วงเวลาที่ทุกคนคิดว่า
‘การลาออกครั้งใหญ่’ ได้เดินทางมาถึงจุดสูงสุด
รายงานพบว่า ประมาณ 30% ของผู้ตอบแบบสำรวจกล่าวว่าพวกเขามีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนงานในอีก 12 เดือนข้างหน้า (เพิ่มขึ้น 10% จากปี 2565) โดยจำนวนผู้ที่ต้องการลาออกนั้นสูงขึ้นในกลุ่มคนรุ่นใหม่ (เจนซี และมิลเลนเนียล) พนักงานระดับอาวุโส และพนักงานที่ทำงานในองค์กรขนาดใหญ่ นอกจากนี้ประมาณ 40% ยังมีแนวโน้มที่จะขอขึ้นเงินเดือน หรือเลื่อนตำแหน่งภายในระยะเวลาเดียวกันทักษะในสถานที่ทำงานมีการพัฒนา แต่ทักษะด้านมนุษยสัมพันธ์มีความสำคัญมากที่สุดภูมิทัศน์ที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาได้พิสูจน์ให้เห็นว่า ทักษะของแรงงานจะได้รับผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญในอนาคต อย่างไรก็ดีพนักงานที่ตอบแบบสำรวจอาจมีความคิดเห็นที่แตกต่างออกไป โดยมีเพียง 44% ที่เชื่อว่าทักษะที่จำเป็นสำหรับการทำงานจะมีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญภายในอีกห้าปีข้างหน้า และมีเพียง 48%เท่านั้นที่เข้าใจอย่างชัดเจนว่าจะเปลี่ยนไปอย่างไร
ซึ่งหากพนักงานไม่เตรียมตัวหรือเข้าใจว่าข้อกำหนดในการทำงานนั้นอาจเปลี่ยนไปพวกเขาก็จะไม่สามารถเตรียมตัวเพื่อรับมือกับอนาคตได้อย่างเพียงพอ
ทั้งนี้ พนักงานในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกได้จัดอันดับให้ทักษะด้านบุคลากร เช่น ความสามารถในการปรับตัว/ความยืดหยุ่น (69%)การทำงานร่วมกัน (67%) และการคิดวิเคราะห์ (66%) อยู่เหนือทักษะด้านเทคนิค หรือธุรกิจหลัก อย่างไรก็ตาม ยังมีทักษะอื่น ๆที่ซ่อนเร้นอยู่ โดยน้อยกว่าครึ่ง (48%) รู้สึกว่า นายจ้างให้โอกาสตนในการใช้ทักษะอย่างมีประสิทธิภาพในอีกห้าปีข้างหน้าซึ่งแสดงให้เห็นว่า กำลังแรงงานอาจมีทักษะที่ยังไม่ได้ถูกนำมาใช้
ด้าน นางสาว โนราห์ เซดอน หัวหน้ากลุ่มลูกค้าธุรกิจกำลังแรงงาน PwC ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก กล่าวว่า“ช่องว่างทางทักษะที่ขยายตัวกว้างขึ้นอย่างต่อเนื่องในภูมิภาคทำให้ต้องมีการจัดการอย่างเร่งด่วนโดยบริษัทที่มีความคิดก้าวหน้าจะต้องทำให้ทักษะเป็นจุดศูนย์กลางของกลยุทธ์การบริหารบุคลากรที่มีความสามารถสูงตั้งแต่การสรรหา การฝึกอบรม การพัฒนา ไปจนถึงผลประโยชน์และค่าตอบแทน การเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์นี้ ไม่เพียงแต่แก้ปัญหาการดึงดูดและการรักษาพนักงานที่มีความสามารถเท่านั้นแต่ยังเตรียมองค์กรให้มีความพร้อมสำหรับความต้องการงานในอนาคตอีกด้วย”
แรงงานในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกส่วนใหญ่มองเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) ในเชิงบวกกำลังแรงงานทั่วทั้งภูมิภาคเข้าใจถึงประโยชน์ของเอไอ โดย 41% กล่าวว่าเอไอจะช่วยเพิ่มความสามารถในการผลิตและประสิทธิภาพในการทำงาน และ 34% มองว่า เป็นโอกาสในการเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆแต่ 22% ยังขาดความมั่นใจในการเสริมสร้างทักษะที่เกี่ยวกับเอไอ นอกจากนี้ 16% ของผู้ตอบแบบสำรวจเชื่อว่าเอไอจะเข้ามาทดแทนงานของพวกเขา ขณะที่แรงงานในอัตราร้อยละที่เท่ากันก็รู้สึกว่า เอไอจะไม่ส่งผลกระทบใด ๆกลุ่มอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น เทคโนโลยี สื่อและโทรคมนาคม ตลอดจนบริการทางการเงินมองเห็นศักยภาพสูงสุดในการปรับปรุงความสามารถในการผลิตด้วยเอไอ ในทางตรงกันข้ามพนักงานในกลุ่มสุขภาพและภาครัฐมีความมั่นใจสูงสุดว่า เอไอจะไม่เข้ามาทดแทนบทบาทหน้าที่ใด ๆ ของตน
ในขณะที่กำลังแรงงานยังคงมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องและมีทัศนคติที่เปลี่ยนไปการเป็นผู้นำในรูปแบบใหม่จึงมีความจำเป็นต่อการนำพาองค์กรไปสู่เส้นทางแห่งการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ทั้งนี้ รายงานของเราได้นำเสนอข้อควรพิจารณาหลายประการสำหรับนายจ้างและผู้นำองค์กรในการทำความเข้าใจบุคลากรของตนให้ดีขึ้นปลดล็อกความสามารถให้เพิ่มขึ้น และบรรลุเป้าหมายที่ใหญ่ขึ้นแม้แรงงานไทยจะพึงพอใจกับงานที่ทำในปัจจุบัน แต่ยังมีแนวโน้มที่ต้องการเปลี่ยนงานสูง
สำหรับประเทศไทย ข้อมูลจากรายงานพบว่า 79% ของกำลังแรงงานไทยที่ตอบแบบสำรวจมีความพึงพอใจมากหรือปานกลางกับงานของตน ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของเอเชียแปซิฟิกที่ 57% อย่างไรก็ดีบุคลากรเหล่านี้ยังคงมีความต้องการจะเปลี่ยนงานมากขึ้นเช่นกัน โดย 30% กล่าวว่า ต้องการเปลี่ยนนายจ้าง เพิ่มขึ้นจาก 13%ในปีก่อน ขณะที่ 70% เชื่อว่า ทักษะในการทำงานของพวกเขาจะเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญในอีกห้าปีข้างหน้าซึ่งถือเป็นเป็นตัวเลขที่สูงที่สุดในภูมิภาค (เปรียบเทียบกับ 44% ของเอเชียแปซิฟิก) และ 77% มองว่าทักษะด้านดิจิทัลจะมีความสำคัญต่ออาชีพของพวกเขาเป็นอย่างมาก
ดร. ภิรตา ภักดีสัตยพงศ์ หุ้นส่วนสายงานที่ปรึกษา PwC ประเทศไทย กล่าวว่าสาเหตุที่กำลังแรงงานไทยมีทัศนติเชิงบวกต่องานของตนมากกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกน่าจะมาจากสามปัจจัยหลัก
ดังต่อไปนี้
1. กำลังแรงงานไทยมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนร่วมงาน อีกทั้งยังสามารถแสดงออกทางความคิดเห็นและเป็นตัวของตัวเองรวมทั้งได้รับการยอมรับจากหัวหน้างานเห็นได้จากผลจากการสำรวจด้านการยอมรับและความสามารถในการเป็นตัวของตัวเองได้อย่างแท้จริงในสถานที่ทำงานและการได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมและความยุติธรรมของไทยที่สูงกว่าภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (70% ของไทยเทียบกับ 52% ของเอเชียแปซิฟิก และ 71% ของไทย เทียบกับ 53% ของเอเชียแปซิฟิก ตามลำดับ)
2. กำลังแรงงานไทยเห็นว่างานที่พวกเขาทำอยู่เชื่อมโยงกับเป้าประสงค์ขององค์กรและเป้าหมายส่วนบุคคลทำให้รู้สึกว่างานที่ตนทำนั้นมีคุณค่าและมีความหมาย โดย 71% ของผู้ตอบแบบสำรวจกล่าวว่างานของพวกเขาสามารถเติมเต็มจิตใจได้ สูงกว่าเอเชียแปซิฟิกที่ 51%
3.กำลังแรงงานไทยมองเห็นความก้าวหน้าและโอกาสในการเรียนรู้เพื่อเติบโตในสายอาชีพและพัฒนาตัวเองในสถานที่ทำงาน ซึ่งตรงกับอุปนิสัยของเจ็นวายและเจ็นซีที่ชอบเรียนรู้ และลองทำสิ่งใหม่ ๆ“แม้ว่าแรงงานไทยจะพึงพอใจกับงานที่ทำอยู่ แต่เรายังคงต้องเผชิญกับกระแสการลาออกครั้งใหญ่ต่อไป
และดูเหมือนว่าจะมีแนวโน้มที่รุนแรงขึ้นด้วยเพราะพนักงานส่วนมากต้องการงานที่เพิ่มรายได้ให้กับตัวเองเพื่อรับมือกับค่าครองชีพที่สูงขึ้นในทุก ๆ ปี ด้วยเหตุนี้นายจ้างจะต้องวางกลยุทธ์และยุทธวิธีต่าง ๆ ในการรักษาทาเลนต์อย่างเข้มข้นและต่อเนื่องโดยเน้นการสร้างสมดุลระหว่างงานและชีวิตส่วนตัว ให้โอกาสในการเรียนรู้และการแสดงความสามารถ ยกระดับทักษะด้านดิจิทัลและสิ่งที่สำคัญที่สุด คือ การเชื่อมโยงเป้าหมายส่วนตัวของพนักงานกับเป้าหมายขององค์กรโดยองค์กรจะต้องแสดงค่านิยมหลักที่ชัดเจนในเรื่องนี้ เพราะนี่จะเป็นรากฐานในการดึงดูดทาเลนต์ในระยะยาว” ดร. ภิรตา กล่าว