Think In Truth
หมดศรัทธา'เพื่อไทย'สะท้อนความสิ้นหวัง โดย : หมาเห่าการเมือง
ปรากฏการณ์หมดศรัทธาพรรคเพื่อไทย ได้เกิดขึ้นในหลายจังหวัดโดยเฉพาะจังหวัดคนเสื้อแดงทั่วทั้งประเทศ ซึ่งปรากฏการณ์นี้ได้สะท้อนถึงจุดเปลี่ยน(Turning Point) ของการเมืองของประเทศไทยอย่างมีนัยสำคัญ ในประเด็นที่สะท้อนปรากฏการณ์นี้ไม่ได้หมายถึงเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับพรรคเพื่อไทยเท่านั้น หากแต่จะเกิดขึ้นกับพรรคการเมืองทุกพรรคยกเว้นกับพรรคก้าวไกล
ก่อนอื่นต้องขออภัยมายังพรรคเพื่อไทยที่หยิบยกกรณีศึกษาของพรรคต่อปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับพรรคเพื่อไทย ซึ่งอันที่จริงแล้วผู้เขียนจะเรียกได้ว่าเป็นสาวกของพรรคเพื่อไทยก็ว่าได้ และมีชีวิตที่คลุกคลีอยู่กับกลุ่มคนเสื้อแดง ชาวไร่ชาวนาในชุมชน และเครือข่ายนอกชุมชนมาตลอดแม้แต่การเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา ถึงแม้จะได้ย้ายมาอยู่ในเขตที่ไม่รู้จะคนสมัครรับการเลือกตั้ง ก็ยังเลือกพรรคเพื่อไทย จะเรียกว่าโง่หรือเป็นสาวกผู้ภักดี ก็ว่าได้
หลังจากทำกิจกรรมเครือข่ายชุมชนมาระยะหนึ่งก็รู้สึกว่ารู้สึกสิ้นเปลืองเวลากับกิจกรรมที่ทำ จึงคิดหยุดเพื่อทำอะไรเพื่อตนเอง จึงย้ายตนเองไปอาศัยอยู่ในจังหวัดที่ไม่มีใครรู้จัก เพื่อหลีกเลี่ยงกับแรงดึงดูดที่จะทำให้ต้องกลับไปทำอย่างเดิม จึงมีรายละเอียดบางอย่างที่พอจะนำเสนอเป็นกรณีศึกษา
พรรคเพื่อไทยกับการทำกิจกรรมทางการเมืองควบคู่ไปกับคนเสื้อแดงทั้งประเทศ มีแนวทางในการดำเนินกิจกรรมการเมืองในรูปแบบของพรรคมวลชน(Mass Party) ที่มีตัวแทนในระดับจังหวัด และตัวแทนในระดับเขต ที่ทำกิจกรรมกับคนเสื้อแดงในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง เมื่อถึงฤดูกาลเลือกตั้ง ก็มีการทำการเลือกผู้ลงสมัครรับการเลือกตั้งโดยสมาชิกพรรคในแต่ละเขตการเลือกตั้ง(Primary Vote) แล้วจะส่งรายเชื่อไปให้พรรคได้พิจารณาเห็นและรับรอง
แต่ในการเลือกตั้งในครั้งที่ผ่านมาพรรคเพื่อไทยได้ตัดสินใจส่งผู้สมัครรับการเลือกตั้งในระดับเขต ที่ผืนมติของสมาชิกในเขตเลือกตั้งหลายเขต โดยส่งผู้สมัครรับการเลือกตั้งในระดับเขตที่ไม่ผ่านการคัดเลือกของสมาชิกในเขตเลือกตั้ง(Primary Vote)ทำให้สมาชิกพรรคที่ร่วมทำกิจกรรมทางการเมืองโดยไม่ได้รับการสนับสนุนไดๆ มาโดยตลอด เรื่องมีความรู้สึก“เอ๊ะ.........”ขึ้นมาในใจ หรือบางเขตก็มีการทักท้วงไปทางพรรค ก็ได้รับคำตอบที่ขัดใจสมาชิกกลับมาไม่น้อย โดยมีคนในพรรคที่รับผิดชอบในเขตนั้นให้เหตุผลว่า “ทางพรรคมีนโยบายแลนด์สไลด์ทั้งแผ่นดิน”จึงจำเป็นต้องเปลี่ยนตัว เอา “คนที่มีสถานะที่จะสู้กับพรรคที่ส่งลงแข่งได้” สมาชิกพรรคเพื่อไทยในเขตเลือกตั้งก็ได้แต่ทนเงียบอย่างขมขื่น เพราะเขารู้ดีว่าคนที่พรรคส่งเข้ามาให้เขาเลือกนั้น ประชาชนในเขตจะเห็นหน้าเมื่อถึงสมัยเลือกตั้งเท่านั้น แต่ก็ได้แต่เก็บความหวังไว้ว่า “คงเป็นพลังร่วมการเปลี่ยนแปลงในอนาคต” ถึงแม้ว่าความหวังนั้นมันจะลดน้อยลงจากตัวแทนที่ลงสมัครรับการเลือกตั้งระดับเขตที่ไม่ยึดโยงกับประชาชน
รอยแผลที่เป็นรอยขีดข่วนในใจของสมาชิกพรรคเป็นสิ่งที่สมาชิกพรรคหันกลับไปมองสถานะตัวเองว่า “ตนเองเป็นประชาชน อำนาจอยู่ในมือที่จะเป็นอิสระในการเลือก” การตัดสินใจของพรรคเพื่อไทยที่ไม่ใส่ใจต่อสมาชิกพรรคในระดับเขตเลือกตั้ง เป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้ผลการเลือกตั้งครั้งที่แล้วออกมาแบบนั้น แต่สมาชิกพรรคเพื่อไทยก็ยังคงนิ่งไม่มีอาการแสดงออกให้เห็นถึงความผิดหวัง เพื่อที่จะให้ตัวแทนในสภาได้ทำงานเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับประเทศ โดยให้ความสำคัญกับอำนาจประชาชน
แต่สถานะการณ์ของการร่วมจัดตั้งรัฐบาลของของพรรคเพื่อไทย ที่สมาชิกสภาผู้แทนพรรคเพื่อไทยได้แสดงออกถึงพฤติกรรมการต่อรองทางการเมืองในการเป็นพรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาล ได้แสดงออกถึง การอาศัยอำนาจประชาชนเพื่อต่อรองให้ได้มาซึ่งอำนาจของตน โดยไม่ได้แสดงออกถึงการต่อสู้เพื่อสนองต่อความต้องการประชาชน ที่ประชาชนได้มอบอำนาจให้ไปดำเนินการ นี่คือฟางเส้นสุดท้ายที่ประชาชนที่เป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทยได้ขาดสะบั้นลง เนื่องจากเขามองไม่เห็นประโยชน์ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่หลอกเอาอำนาจของพวกเขาไปแสวงหาอำนาจของตน
ปรากฏการณ์หมดศรัทธาพรรคเพื่อไทย ที่เกิดขึ้นในจังหวัดต่างๆ มันไม่ได้เกิดจากการแทรกแซงของพรรคการเมืองอื่นเลย หากแต่เกิดจากความไม่เห็นด้วยกับแนวการดำเนินการของพรรคการเมืองของพรรค ที่เป็นปมความไม่พอใจของสมาชิกพรรคนั่นเอง
ปรากฏการณ์ดังกล่าวการเป็นสมาชิกพรรคได้แสดงออกต่อพรรคที่ตนสังกัดเป็นครั้งแรก นั้นไม่ได้หมายถึง”สมาชิกพรรคที่ออกมาแสดงออกนี้ไม่ภักดีต่อพรรคเพื่อไทย” นะแต่นี่เป็นการ “เตือนสติเพื่อสั่งสอนให้กับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคเพื่อไทย” ให้ได้สำเหนียกว่าตัวเองเป็นตัวแทนประชาชนเพื่อใช้อำนาจของประชาชนเพื่อประชาชน ไม่ได้ให้ไปแสวงหาอำนาจของตน จนแสดงบทบาทนักการเมืองที่ต้องต่อรอง ต่อสู้ในสภาจนทำให้ระบบของสภา ซึ่งเป็นสภาอำนาจประชาชนต้องเสียระบบ
สิ่งหนึ่งที่ประชาชนอยากเตือน ส.ส. ที่เขาส่งไปเป็นตัวแทนในสภาคือ “ประชาชนไม่ได้โง่” นะเว้ย...เห้ย....
จากสถานการณ์ที่ปรากฏขึ้นนี้สามารถเป็นบทเรียนให้กับพรรคการเมืองทุกพรรคให้มีเปลี่ยนจุดมุ่งหมายในการดำเนินกิจกรรมทางการเมืองเสียใหม่ โดยแข่งขันที่ความรู้ความสามารถที่จะกำหนดนโยบาย (Policy Making) ให้ได้ตรงกับใจประชาชน และนำนโยบายไปปฏิบัติ(Policy Implement)ให้เป็นไปตามที่ได้แถลงไว้ โดยมีเป้าหมายในการดำเนินกิจกรรทางการเมืองที่มุ่งสู่ผลประโยชน์โดยรวมของชาติ และประชาชนเป็นหลัก ดำเนินกินกิจกรรมทางการเมืองอย่างตรงไปตรงมาที่มีความสามารถในการสื่อสารการเมืองถึงประชาชนให้เข้าใจถึงแนวคิดและวิธีการดำเนินการนั่นคือทิศทางที่พรรคการเมืองทุกพรรคควรต้องปรับกลยุทธของพรรคการเมืองที่สังกัดเสียใหม่
หากพรรคการเมืองไม่ปรับตัวเองและยังคงมียุทธวิธีในการดำเนินกิจกรรมทางการเมืองเหมือนเดิม ในรูปแบบ “อำนาจนิยม” ที่มีเจ้าของพรรคเป็นผู้กำหนด โดยไม่รับฟังความคิดเห็นหรือความต้องการของประชาชน “การสูญพันธุ์ของพรรคการเมือง” จะเกิดขึ้นกับอีกหลายพรรค ซึ่งนี่ไม่ใช่คำขู่จากประชาชน แต่มันเป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นอย่างมีนัยะสำคัญด้วยหลักวิทยาศาสตร์ที่ถูกวิเคราะห์บนฐานของข้อมูล
สำหรับพรรคเพื่อไทย ปรากฏการณ์นี้ไม่ได้หมายความว่าพรรคเพื่อไทยจะสูญเสียมวลชน แต่อาจจะเสียหน้าไปบ้างที่ดำเนินกิจกรรมทางการเมืองที่ผิดพลาด ซึ่งก็ไม่ได้หมายความว่าหมดโอกาสที่จะรักษามวลชนไว้ หรือสร้างมวลชนใหม่เพิ่มขึ้น จากทรัพยากรทางการเมืองที่ถูกสร้างไว้ในยุคพรรคไทยรักไทยผู้บริหารพรรคเพื่อไทยจำเป็นต้องถอดบทเรียน เพื่อปรับวิสัยทัศน์และกระบวนทัศน์ใหม่ โดยอาศัยโอกาสที่ได้เป็นพรรคร่วมรัฐบาล ที่พรรคแกนนำยังคงให้เกียรติยอมเปิดทางให้ดำเนินนโนบายการพัฒนาเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวโดยเร็ว และสร้างความเจริญให้ประชาชนอิ่มปาก อิ่มท้อง อยู่ดี มีสุข โดยที่พรรคแกนนำรัฐบาลยอมที่จะเดินหน้าลุยขวากหนามในการปฏิรูปโครงสร้างหารบริหาร ให้สอดคล้องกับยุคสมัยของการเปลี่ยนแปลง ซึ่งเป็นงานที่ยากกว่า ใหญ่กว่า แต่ได้รับคุณน้อยกว่าเพราะเป็นงานที่เป็นนามธรรม
สังคมกำลังจับตามองพรรคเพื่อไทยในการร่วมรัฐบาลครั้งนี้อย่างไม่ละสายตา เพราะมันคือการประเมินที่สำคัญ ที่จะเป็นฟางเส้นสุดท้าย ที่จะทำให้พรรคเพื่อไทยยังคงรักษาสถานะหรือเติบโตขึ้นมาเหมือนเดิม หรือจะทำให้พรรคเพื่อไทยสูญพันธุ์ตามไปกับพรรคอนุรักษ์นิยม ตามดรรชนีของผลสำรวจอีสานโพล ดังนั้นพรรคเพื่อไทยจะเป็นพรรคร่วมรัฐบาลที่รับรับเกียรติให้ทำหน้าที่ในกระทรวงเกรดเอ ที่พรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาลมอบให้ หรือจะเป็น ”พระที่แย่งบาตรเณร” หรือจะเป็น “พระที่งอนเณรแล้วไม่คิดช่วยสร้างกระบวนการบริหารเพื่อพัฒนาวัด” อยู่ที่พวกท่าน ส.ส.ผู้ทรงเกียรติพรรคเพื่อไทยทั้งหลายครับ