Think In Truth
แค่ชวน.....ก็กระอักกระอ่วน คายเหยื่อ..... โดย : หมาเห่าการเมือง
ย้อนกลับไปเมื่อปี พ.ศ. 2557 มีศิลปินระดับโลกท่านหนึ่ง มีกำหนดการที่จะเปิดการแสดงคอนเสิร์ตที่อิมแพ็คอารีน่า เมืองทองธานี ในวันที่ 9 มิถุนายน คือ เทย์เลอร์ สวิฟต์ แต่เธอก็ต้องแสดงความเสียใจกับคนไทยที่ถูกยกเลิกการแสดงคอนเสิร์ตครั้งนั้นไป เนื่องจากอยู่ในช่วงการทำรัฐประหาร โดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)
แล้วมันเกี่ยวอะไร กับการที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ทวีตชวนให้มาเปิดคอนเสิร์ตในประเทศไทย มันคงเป็นเป็นความสงสัยที่เกิดขึ้นกับสงัคมไทย อันเนื่องจาก เทย์เลอร์ สวิฟต์ เขาเป็นชาวอเมริกัน และไม่เกี่ยวข้องกับการเมืองไทยเลยแม้แต่น้อย เพียงแต่งานคอนเสิร์ตของเธอ ได้รับผลกระทบจากการทำรัฐประหารของรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)เท่านั้น
สิ่งหนึ่งที่ต้องนำมาเป็นปัจจัยเพื่อการวิเคราะห์ทางการเมืองที่สำคัญ คือ เทย์เลอร์ สวิฟต์ เป็นศิลปินที่มีชื่อเสียงมากThe Red Tour เป็นทัวร์คอนเสิร์ตที่ถูกจัดขึ้นเพื่อโปรโมท RED(2012) สตูดิโอ อลบั้มชุด 4 ซึ่งเธอได้เปิดคอนเสิร์ตไปแล้ว 452 เวที โดยไม่เคยมีการ “ยกเลิก” เลย แต่คอนเสิร์ตที่จะจัดขึ้นในวันที่ 9 มิถุยายน 2557The Red Tour Live In Bangkok ซึ่งถือได้ว่าเป็นคอนเสิร์ตเวทีแรกในชีวิตของเธอที่ถูกยกเลิก
ความทรงจำแห่งความร้อนแรงของเธอที่มีต่อความกระหายอยากชมคอนเสิร์ตของเธอ หากจะดูจากการขายบัตร พรีเซลล์ Taylor Swift สิงคโปร์ คิวเป็นล้าน ใน 10 นาที และขายหมดในเวลา 3 ชัวโมง ความทรงจำที่เกิดจากความผิดหวังที่แฟนคลับของเธอพลาดชมคอนเสิร์ตของเธอครั้งนั้น ยังคงตรึงอยู่ในใจตลอดมา ด้วยความหวังที่จะได้ชมคอนเสิร์ตของเธอในประเทศไทยเทย์เลอร์ สวิฟต์ได้โพสต์ทวิตเตอร์ @taylorswift13 ถึงแฟนๆ ชาวไทยว่า “ฉันขอส่งความรักถึงแฟนเพลงชาวไทยทุกท่าน ฉันรู้สึกเศร้ามากที่คอนเสิร์ตถูกยกเลิก” ซึ่งเป็นความหวังที่แฟนเพลงชาวไทยรอคอยที่จะได้ชมคอนเสิร์ตของเธอในประเทศไทย
เมื่อเร็วๆ นี้ เทย์เลอร์ สวิฟต์ ได้ประกาศทัวร์คอนเสิร์ตในหลายประเทศ ในทัวร์ The Erase Tour และกำลังพิจารณาจะเพิ่มคอนเสิร์ตอีก หลายเวที โดยร่วมคอนเสิร์ตกับวงดนตรีชื่อดังของอเมริกา คือ วง Paramount ซึ่งแฟนเพลงทั่วโลกได้เข้ามารีทวิตและขอให้เธอได้ตัดสินใจมาแสดงคอนเสิร์ตในประเทศของตนเอง รวมทั้งนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดทนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยด้วย
หากจะดูกับเผินๆ การแห่แหนเข้าติตามคอมเมนต์กับคนมีชื่อเสียงของแฟนคลับ และชวนโน่น นี่ นั่น มันก็เป็นเรื่องธรรมดาของโลกโซเชี่ยลมิเดียร์ สำหรับคนตกยุคที่ยังติดอยู่ในโลกยุคอนาล็อก ก็จะมองว่าเป็นเพียงการสื่อสารกะโลหกะลา ของเด็กติดโลกออนไลน์ ที่พูดคุยกันแบบไร้สาระ แต่มันก็แปลกที่เมื่อมีทวิตของนายพิธาได้เชิญชวนให้เทย์เลอร์ สวิฟต์ กลับมาแสดงคอนเสิร์ตในประเทศไทย และเขาจะร่วมร้องเพลงกับเธอบนเวทีคนเสิร์ตด้วย เกิดสิ่งที่ทุกคนปะหลาดใจมากคือนายสุรชัย จันธิมาทร ศิลปินเพื่อชีวิตรุ่นใหญ่ ได้ออกมาตีโพย ตีพาย การรีทวิตของนายพิธา ถึงเทย์เลอร์ สวิฟต์ ว่า “ตรรกะงี่เง่า”โดยในเนื้อหาทวิตขิงหงา คาราวาน ได้กล่าวถึง เทย์เลอร์ สวิฟต์ รังเกลียดเผด็จการ จึงไม่อยากมาเล่นคอนเสิร์ตในประเทศไทย
ถ้าเพียงเท่านี้ก็คงแค่ก่ออรามรณ์ด้อมส้ม เกิดอารมณ์หมั่นใส้หงา คาราวาน และชักชวนทัวร์ไปเยี่ยม พอสนุกกับเล่นคีย์บอร์ด ที่มองว่า หงา คาราวาน งี่เง่า ที่ตนเองเป็นถึงศิลปินแห่งชาติ ทำไมถึงเชิญชวนศิลปินต่างชาติอะไรประมาณนี้
ความจริงแล้วแล้ว การรีทวิตของนายพิธา มันมีผลต่อการเมืองในประเทศไทยมาก เนื่องจากสำนักข่าวทั่วโลก ได้นำประเด็นเล็กๆ ในการรีทวิตของนายพิธาเชิญชวนเทย์เลอร์ สวิฟต์ มาแสดงคอนเสิร์ตในประเทศไทย ซึ่งเป็นประหนึ่งที่เรียกให้สายตาของคนทั้งโลกได้หันกัลบมามองเรื่องราวภายในประเทศไทย ตามแสงสปอร์ตไลต์ที่สื่อทั่วโลกได้ประโคมข่าวฉายส่องมายังประเทศไทยนี้
การจับตามองมองไทยในฐานะที่ทั่วโลกมองว่าเป็นประเทศที่อยู่ภายใต้การปกครองของเผด็จการ และประเทศไทยพึ่งผ่านการเลือกตั้งสาชิกสภาผู้แทนราษฎร การเลือกประธานสาผู้แทนราษฎร และกำลังอยู่ในช่วงของการลงมติรับรองนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรี
สังคมของคนทั่วโลกติดตามข้อมูลประเทศไทยในฐานะประเทศที่ส่งเสริมการท่องเที่ยวที่ดีที่สุดในโลก อีกทั้งมีความประสงค์ที่อยากมาท่องเที่ยวในประเทศไทย หรือมาพรำนักทำงานตามสไตล์คอมพิวเตอร์ นอร์แมด ที่ต้องการพักที่ประเทศไทยแบบลองไลฟ์ เพราะในสายตาของนักท่องเที่ยวทั่วโลกมองว่าประเทศไทยคือแดนสวรรค์ ที่เขาต้องการเข้ามาใช้ชีวิตทั้งระยะสั้นและระยะยาว
แต่ที่ยังคงระแวงและค้างคาใจของชาวโลกอยู่ คือการเมืองการปกครองของประเทศไทยไม่มีความเสถียรภาพ และประเทศยังอยู่ในการปกครองของเผด็จการ
ในสภาวะของการสกัดนายพิธา ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี จากกลุ่มการเมืองฝ่ายอนุรักษ์นิยมที่เป็นกลุ่มสมาชิกสภาผู้แทนเสียงส่วนน้อย ร่วมกับสมาชิกวุฒิสภา ซึ่งได้หยิบขึ้นมาดำรงตำแหน่งวุฒิสมาชิกด้วยมือของเผด็จการเอง ที่ได้งัดกลยุทธ์ทุกวิถีทางในการที่จะทำให้นายพิธา หมดความชอบธรรมในการขึ้นเป็นายกรัฐมนตรี รวมทั้งพยายามใช้เล่ห์เพธุบาย ที่จะผลักให้พรรคก้าวไกลตกไปเป็นฝ่ายค้าน โดยแยกพรรคเพื่อไทย เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล ที่จะต้องรวมกับพรรคการเมืองเสียงส่วนน้อย โดยไม่สนใจถึงจริยธรรมทางการเมือง
เมื่อรีทวิตของนายพิธา ที่ชักชวนให้เทย์เลอร์ สวิฟต์ มาแสดงคอนเสิร์ต ในประเทศไทย ตกกลายเป็นข่าวไปทั่วโลกพฤติกรรมทางการเมืองของฝ่ายอนุรักษ์นิยมก็ผ่อนคลายในการแสดงออกถึงความไร้จริยธรรมลง โดยมีอาการสงบต่อการกล่าวหาหรือการสกัดนายพิธาขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีด้วยวิธีที่บิดเบี้ยวต่อหลักเกณฑ์และกฏหมาย
ประเด็นการแก้รัฐธรรมนูญมาตรา 112 ที่ฝ่ายอนุรักษ์นิยมอ้างถึง เป็นการ “ล้มลางสถาบันพระมหากษัติรย์” และเป็นจุดอ่อนที่พรรคก้าวไกลยังไม่สามารถทำความเข้าใจกับสังคมให้คลายความระแวงสงสัยและขาดความเชื่อมั่นในการยอมรับการเป็นรัฐบาลของพรรคก้าวไกลเสมอมา อาวุธเด็ดของฝ่ายอนุรักษ์นิยมได้ใช้ประเด็นนี้ในการสร้างความไม่ชอบธรรมให้กับพรรคก้าวไกลถูกเอามาใช้เป็นระยะด้วยการบิดเบือนเจตนารมณ์ในการแก้กฏหมายรัฐธรรมนูญฉบับนี้จนมีคนบางกลุ่มเชื่อโดยสนิทใจว่า พรรคก้าวไกลเป็นพรรคล้มเจ้า และฝ่ายอนุรักษ์นิยมยังคงใช้สื่อที่เคยประโคมใส่ร้ายพรรคเพื่อไทยเรื่องเผาบ้านเผาเมือง เพื่อสร้างความเชื่อให้เข้าใจผิดในประเด็นนี้ต่อพรรคก้าวไกลมาโดยตลอด
แต่ด้วยความอดทนต่อศรัทธาของอำนาจประชาชนของสมาชิกพรรคก้าวไกล ที่เต็มไปด้วยคนรุ่นใหม่ ที่มีกุนซือระดับจูกัดเหลียง อย่างนายชัยธวัช ตุลานนท์ คอยวางกลยุทธ์อยู่เบื้องหลังการเคลื่อนไหวอย่างเงียบๆ ในฐานะเลขาธิการพรรคก้าวไกล ได้วางกลยุทธ์ทางการเมืองละการสื่อสารทางการเมืองเพื่อทำความเข้าใจต่อสาธารณะ ว่า “การแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 112 ไม่ใช่เป็นการล้มเจ้า แต่เป็นการธำรงไว้ของสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างมั่นคงสถาพร”และนายพิธายังน้อมรับพระกระแสพระราชดำรัส พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10“ทำงานเพื่อประเทศชาติ และประชาชน” ซึ่งหมายถึงนายพิธาและพรรคก้าวไกลมีความจงรักภักดีในพระมหากษัตริย์ และไม่มีเจตนาล้มเจ้าตามที่ถูกกล่าวหา
เนื่องจากที่ผ่านมา มีคนได้นำรัฐธรรมนูญมาตรา 112 มาใช้ในการกลั่นแกล้งทางการเมืองและละเมิดสิทธิมนุษยชน ทำให้เด็กต้องติดคุกจำนวนมาก โดยไม่มีความิด เท่ากับเป็น”การดึงสถาบันให้มาปะทะกับประชาชน” ทำให้ความรู้สึกของประชาชนที่มีต่อสถาบันห่างจากสถาบันออกไป พฤติกรรมทางสังคมที่สร้างอิมเมจตนเองให้รู้สึกใกล้ชิดสถาบัน และผูกขาดความจงรักภักดี เป็นเสมือนเป็นลิ่ม ที่ตอกย้ำให้สังคมไทยกลุ่มเสรีนิยม รู้สึกขัดแย้งต่อพฤติกรรมของผู้คนฝ่ายอนุรักษ์นิยม ด้วยการถูกกล่าวหา “พวกชังชาติ” , “ พวกล้มเจ้า “ , “พวกไม่จงรักภักดี” อัตตลักษณ์ที่ถูกยัดเยียดให้ด้วยความไม่เต็มใจ เลยการเป็นประชดด้วยการแสดงออกการต่อต้านเผด็จการมากขึ้น
กลุ่มอำนาจอนุรักษ์นิยมที่แฝงตัวอยู่ในมุมมืดในรูปทุนผูกขาด หรือพรรคการเมืองแสดงตนต่อสาธารณะด้วยการคลุมด้วยประชาธิปไตย ยังคงอาศัยกลุ่มมวลชนและสื่อออกมาแสดงออกถึงการผูกขาดความจงรักภักดี โดยผลักให้กลุ่มเฉยๆ ไม่แสดงออก และกลุ่มที่รู้สึกเอียนกับความร่ำไรของกลุ่มคนเหล่านั้น ซึ่งเป็นคนหมู่มากของสังคมกลายเป็นพวกไม่จงรักภักดี กลายเป็นพวกล้มเจ้า กลายเป็นพวกชังชาติ
ปัจจัยของมวลชนกลุ่มอนุรักษ์นิยมที่ผลักใสให้กลุ่มอื่นมีอัตตลักษณ์ตามที่ตนกล่าวหา มันเป็นการยัดเยียดอัตตลักษณ์ที่เขาถูกยัดเยียดต้องแสวงหากลุ่มการเมืองที่ต้องแสวงออก นี่จึงเป็นที่มาของชัยชนะของฝ่ายเสรีนิยมประชาธิปไตย โดยเฉพาะพรรคก้าวไกล และพรรคเพื่อไทย
แต่มีพรรคเพื่อไทยทั้งที่เคยมีชัยชนะมาตลอด และคราวนี้ก็ตั้งเป้าในการได้ ส.ส. แบบแลนด์ สไลด ด้วยแคมเปญ “เพื่อไทยทั้งแผ่นดน” แต่ก็แพ้ต่อพรรคก้าวไกล เนื่อจากภาพลักษณ์ของการต่อสู้ทางการเมืองที่สร้างความมั่นใจให้กับสังคมได้น้อยกว่า
แต่ถึงกระนั้น ฝ่ายอนุรักษ์นิยมยังไม่วายแสดงออกถึงการไม่ยอมคายอำนาจที่ฝ่ายตนได้เรียกร้องให้กองทัพออกมายึดอำนาจประชาชน แล้วฝ่ายตนได้อาศัยอำนาจกองทัพเข้าร่วมใช้อำนาจบริหารประเทศ โดยพยายามเปลี่ยนโครงสร้างทางเศรษฐกิจของประเทศ ด้วยความเชื่อ “เศรษฐกิจ นำการเมือง” นั่นคือได้ใช้แผนแม่บทในการพัฒนาประเทศอันเดิม แต่เปลี่ยนแหล่งทุนใหม่ จากทุนสะสมที่มีอยู่ในประเทศ และทุนสากลในโลกเสรีนิยมมาเป็นทุนฝ่ายสังคมนิยมทั้งหมดภายใต้หลัก “ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” โดยใช้ทุนที่มีอยู่ในประเทศในการพัฒนากองทัพโดยเพิ่มอาวุธยุทโธปกรณ์ให้มากขึ้น
สิ่งที่ซ่อนอยู่ในนโยบายการบริหารประเทศที่ผ่านมา คือ การเปิดโอกาสให้ทุนผูกขาดสามารถสร้างความร่ำรวยจากการใช้จ่ายที่ไม่สมดุลกับรายได้ของประชาชน พรคการเมืองฝ่ายอนุรักษ์นิยมได้สร้างระบบของรัฐสภาไทยให้เกิดการบิดเบี้ยว ตั้งแต่ระบบการเลือกตั้ง ที่มีบัตรเขย่ง สูตรการคำนวณ ส.ส. พึงมี และการซื้อ ส.ส. ในสภา โดยฝ่ายอนุรักษ์นิยมสามารถทำได้ แต่ฝ่ายเสรีประชาธิปไตยหากมีสิ่งที่สงสัยว่า หรือคาดว่าผิด จะถูกดำเนินการทางกฏหมายทันที เช่นการยุบพรรคอนาคตใหม่ เป็นต้น
ภาพทางการเมืองที่แสดงออกถึงความไร้จริยธรรมเหล่านี้ได้แสดงออกให้ชาวโลกได้รับรู้แล้วว่า ใครเป็นอย่างไร ฝ่ายไหนมีแนวคิดอย่างไร ซึ่งก็เป็นธรรมของโลกประชาธิปไตย ที่ให้เสรีภาพทางความคิดของคนในสังคม เป็นการกำหนดกติกา จะเกิดจากสังคมส่วนใหญ่ แต่สิ่งที่อยู่ในมุมมืดทางการเมือง เป็นสิ่งที่ยังไม่ได้ถูกเปิดเผย เพราะฉากนอกที่ทำให้เห็นกันอยู่ คือ วาทกรรมที่สนับสนุนให้ฝ่ายอนุรักษ์นิยมสามารถดำเนินการทางการเมืองในนามประชาธิปไตยภายใต้การปกครองเผ็จการได้ โดยไม่แคร์ต่อจริยธรรมที่ควรจะเป็น
กระแสไวรัลที่มีต่อการโพสต์เชิญชวนเทย์เลอร์ สวิฟต์ มาแสดงคอนเสิร์ตในประเทศไทยของนายพิธา เหมือนเป็นสปอร์ตไลต์ให้คนทั้งโลกจ้องมองมาที่ประเทศไทย เพื่อเฝ้ามองดูว่า นายพิธาจะได้รับการลงมติรับรองให้เป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่???... ในฐานะหัวหน้าพรรคก้าวไกลที่เป็นแคนดิเดทหนึ่งเดียวของพรรค ที่มี ส.ส. ได้รับการเลือกตั้งมากที่สุด
สมการความคิดของชาวโลกก็จะเกิดขึ้นว่า ถ้านายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ได้รับการลงมิติรับรองให้เป็นนายกรัฐมนตรี นั่นคือ ประเทศไทยเป็นประเทศประชาธิปไตยที่ไม่มีอิทธิพลในมุมมืด คอบกำกับให้การเมืองของปรเทศขาดเสถียรภาพทางการเมือง
แต่ถ้านายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ไม่ได้รับการลงมติรับรองให้เป็นนายกรัฐมนตรี สังคมโลกก็จะมองว่าการเลือกตั้งของประเทศไทยเป็นเพียงการหลอกลวงชาวโลกว่าเป็นประชาธิปไตย ที่แท้ที่จริงประเทศไทยยังมีอทธิพลในมุมมืดที่อยู่เหนือการเมือง ที่กำกับให้การเมืองการปกครองของประเทศยังคงอยู่ภายใต้อำนาจเผด็จการที่มองไม่เห็น
ดรรชนีสำคัญที่ชี้ให้ชาวโลกรู้ว่าประเทศไทยมีการเมืองการปกครองเป็นอย่างไร คือ การตัดสินใจของเทย์เลอร์ สวิฟต์ ว่าจะตอบรับการเชิญชวน การมาแสดงคอยเสิร์ต The Eras Tour ในประเทศไทยหรือไม่ ซึ่งมันจะเป็นคำตอบที่สำคัญต่อชาวโลกในความเข้าใจต่อการเมืองของประเทศไทย ที่จะส่งผลต่อการท่องเที่ยว และการลงทุนจากต่างประเทศ ซึ่งจะเป็นพื้นฐานสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศเป็นสำคัญ
ประเด็นนี้จะไม่เพียงแต่ชาวโลกจะจับตามองการลงมติการเลือกนายพิธา เป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่ แต่มันยังเป็นที่สนใจของคนไทยทุกคนในประเทศไทย โดยเฉพาะแฟนคลับของเทย์เลอร์ สวิฟต์ ในประเทศไทย หากนายพิธาไม่ได้รับการรับรองเป็นายกรัฐมนตรี พวกเขาต้องแสดงออกถึงความเสียดายโอกาสในการได้ชม เทย์เลอร์ สวิฟต์ในประเทศไทยแน่ๆ ซึ่งจะเป็นแรงกดดันเป็นบุมเมอร์แลงย้อนกลับไปมีผลกระทบต่อฝ่ายอนุรกษ์นิยมที่ต่อต้านการขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีของนายพิธา ปัจจัยเหล่านี้เองที่ทำให้การต่อต้านนายพิธาขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีลดลง
ซึ่งในเวลาต่มา เลขาพรรคก้าวไกลยังคงยืนยันและมีความมั่นใจจะได้รับเสียงสนับสนุนจาก ส.ว. มากพอที่จะให้นายพิธา เป็นนายกรัฐมนตรี เราคนไทยก็รอลุ้นร่วมกันนะครับ ว่า จะได้มีโอกาสได้ชมคอนเสิร์ต เทย์เลอร์ สวิฟต์ ในประเทศไทยหรือไม่??....