Think In Truth

ถึงกาลเวลาต้องเปลี่ยน...ยุคทางการเมือง โดย : หมา เห่าการเมือง



ปรากฏการณ์ของพรรคการเมืองเก่าแก่ของไทย  ที่มีผลการเลือกตั้งแพ้ให้แก่พรรคการเมืองของคนรุ่นใหม่ ที่ดำเนินกิจกรรมทางการเมืองมาเพียงแค่สองสมัย รวมแม้กระทั่งการพรรคเมืองที่อยู่ในใจประชาชนมาโดยตลอดคือพรรคเพื่อไทย ที่ทำให้คนไทยได้เข้าใจถึง “ประชาธิปไตยกินได้” ทำให้คนรากหญ้ายังคงมีทักษิณอยู่ในใจเสมอมา ถึงแม้นการเมืองฝ่ายตรงข้ามสร้างผีทักษิณเพื่อสร้างความเกลียดชัง หวังให้ประชาชนลืมทักษิณ ก็ยังไม่สามารถแยกทักษิณออกจากใจของคนรากหญ้าเลย ก็ยังได้ผลการเลือกตั้งแพ้ต่อพรรคเกิดใหม่อย่างพรรคก้าวไกล

อะไรคือสาเหตุสำคัญที่ทำให้การเมืองของไทยเกิดปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้น ทั้งที่พรรคใหญ่อย่างพรรคเพื่อไทย ที่ดำเนินกิจกรรมทางการเมืองควบคู่ไปกับกิจกรรมของคนรากหญ้าในนามคนเสื้อแดงมาโดยตลอด และปูพื้นทางความคิดให้กับเครือข่ายคนเสื้อแดงด้วยหลักของการเปลี่ยนแปลง คือ ต้องทำการเมืองไทยให้ “แดงทั้งแผ่นดิน” ช่วงสมัยการเลือกตั้งที่ผ่านมาก็เสนอแคมเปญออกมาเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับสมาชิก คือ “แลนด์ สไลด์”

รัฐบาลประยุทธ์ จันทร์โอชารู้สึกว่าสถานการณ์ทางการเมืองอาจจะพลิกขั้วในสมัยการเลือกตั้งต่อจากรัฐบาลตน อีกทั้งยังมีความขัดแย้งภายใตพรรคพลังประชารัฐ จนทำให้สมาชิกพรรคพลังประชารัฐกลุ่มพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา แยกตัวออกมาตั้งพรรครวมไทยสร้างชาติ โดยปล่อยให้พรรคพลังประชารัฐดูแลโดยพลเอกประวิตร วงศ์สุวรรณ และปล่อยให้นักการเมืองผู้เจนจัดในการทำกิจกรรมและมีความสามารถในการต่อรองสูงทางการเมือง ย้ายพรรคเข้าสังกัดพรรคเพื่อไทย   เพื่อหวังเป็นสะพานสายสัมพันธ์ในการรวมกับพรรคเพื่อไทยในการจัดตั้งรัฐบาลภายหลังการเลือกตั้งที่ผ่านมา โดยมีนักวิชาการทางการเมืองและนักวิเคราะห์ทางการเมือง มองสถานการณ์ทางการเมืองก่อนการเลือกตั้งว่า มีดีลลับทางการเมืองกับคนแดนไกลเพื่อสืบทอดอำนาจแลกกับการกลับบ้านของทักษิณ

สถานการณ์การทางการเมืองหลังการเลือกตั้งไม่ได้เป็นไปตามแผนของฝ่ายอำนาจนิยมที่หวังจากได้ตั้งรัฐบาล เกิดการช็อคทางการเมืองครั้งยิ่งใหญ่เกิดขึ้นหลังจากที่พรรคก้าวไกลเกิดชนะการเลือกตั้ง  ด้วยการได้รับการเลือกตั้ง ส.ส.เขตพื้นที่ ถึง 122 เขต และมีคะแนนเสียงปาร์ตี้ลิสต์ ชนะถึง 42 จังหวัด โดยได้ ส.ส. ปาร์ตี้ลิสต์ 29 คน ซึ่งได้ ส.ส. รวมทั้งหมด 151 คน ซึ่งเป็นพรรคที่มี ส.ส. ในสภามากที่สุด และมีความชอบธรรมในการรวบรวมพรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาล

ปรากฏการณ์ชัยชนะของพรรคก้าวไกลครั้งนี้ เป็นสิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมาย เนื่องจากก่อนการเลือกตั้ง พรรคก้าวไกลถูกมองว่าเป็นพรรคที่ขาดความน่าเชื่อถือ เนื่องจากไม่มีบารมีในการช่วงเหลือประชาชน ซึ่งต่างจาก ส.ส. ในยุคก่อน ที่สามารถช่วยประชาชนในเขตเลือกตั้งของตนเองได้ แม้กระทั้งกระทำผิดกฏหมาย หรืออาจจะช่วยเหลือจากหนักเป็นเบาได้ ในขณะที่ ส.ส. พรรคก้าวไกล จะออกหน้าในการช่วยเหลือในเรื่องที่ถูกเอาเปรียบ หรือถูกละเมิดสิทธิ์มนุษยชน ซึ่งไม่ครอบคลุมกับความเดือดร้อนของประชาชน

นักวิชาการและนักวิเคราะห์ทางการเมือง ยังคงมองว่า การรับรู้ทางการเมืองผ่านทางโซเชียลมิเดียร์ เป็นเพียงการสื่อสารแบบกะโหลกกะลา ที่ไร้สาระ สร้างความประทับใจหรือจูงใจให้เชื่อถือและศรัทธาไม่ได้เท่าการออกไปช่วยงานบวช งานแต่ง งานศพ งานขึ้นบ้านใหม่  งานพบปะสังสรร การช่วยเหลือความเดือดร้อนเฉพาะหน้าให้กับประชาชนไม่ได้ อีกทั้งพรรคก้าวไกลถูกมองว่าอยู่เบื้อหงลังของกลุ่มเยาวชนกลุ่มต่างๆ ที่เคลื่อนไหวเรียกร้องเสรีภาพในรูปแบบต่างๆ รวมทั้งถูกกล่าวหาเป็นพรรคที่มีนโยบายแก้ ม. 112 ซึ่งถูกโยงไปถึงการล้มล้างสถาบัน เป็นนโยบายในการหาเสียง พรรคก้าวไกลจึงถูกประเมินว่าถ้าได้ ส.ส. เข้าสภาได้ถึง 20 คน จากเดิม 80 คนก็ถือว่าบุญแล้ว

คำปรามาสที่มีต่อพรรคก้าวไกล ถูกพรั่งพรูออกมาในช่วงการหาเสียงเลือกตั้ง แม้แต่ ดร.วีระ ธีระพัฒน์ ซึ่งถือว่าเป็นนักวิชาการที่ยืนอยู่บนหลักการ บนฐานข้อมูลที่เป็นวิทยาศาสตร์ที่เข้มแข็งท่านหนึ่งยังพูดในรายการ “ฟังหูไว้หู” ว่าถ้า ก้าวไกลได้อย่างที่ตั้งเป้าไว้ จะให้เตะ หรือเอาบ้าน เอารถกันไปเลยถึงแม้นว่าอาจารย์จะพูดเป็นการหยอกๆ เชิงล้อเล่นกันในฐานะที่รู้จักและสนิทสนมกัน แต่ก็มีนัยะให้ทราบว่า อาจารย์วีระ ธีระพัฒน์เองก็ไม่เชื่อในข้อมูลที่ได้รับฟังจากปากผู้ลงสมัครรับการเลือกตั้งของพรรคก้าวไกล และอาจจะมองว่า ผู้สมัครรับการเลือกตั้งที่ไปออกรายการกับอาจารย์พูดเกินความจริงในฐานะการพูดสร้างความเชื่อมั่นในช่วงหาเสียงเท่านั้น

เมื่อปรากฏการณ์ที่ช็อกทางการเมืองเกิดขึ้นหลังการเลือกตั้ง กลายเป็นสิ่งที่กดดันให้เกิดพฤติกรรมของสังคมในหลายรูปแบบของพรรคการเมืองต่างๆ เช่น พรรคเพื่อไทยก็แสดงออกถึงอาการรับไม่ได้ที่พ่ายต่อพรรคของคนรุ่นใหม่ที่ถูกมองเป็นพรรครองบ่อนมาโดยตลอด ถึงขั้นเปรียบ ส.ส.พรรคก้าวไกล “เป็นเณร หรือเป็นพระบวชใหม่ ที่มีพรรษาน้อย” หรือ ปรากฏการณ์บิดเบือนระบบสภาผู้แทนราษฏร เช่น นักวิชาการฝ่ายอนุรักษ์นิยม ออกมาให้ความเห็นว่า “เสียงที่ได้รับ 14 ล้านเสียง ไม่ได้เป็นเสียงส่วนใหญ่ของประเทศ” เมื่อเทียบกับผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งสภาผู้แทนราษฎร 50 ล้านเสียง หรือแม้แต่คนแดนไกลก็ออกมาให้ความเห็นว่า พรรคเพื่อไทยแพ้ไอโอพรรคก้าวไกลหรือนายพิธาขาดคุณสมบัติในการดำรงตำแหน่งทางการเมือง เป็นต้น แต่ในทุกประเด็นข้อกล่าวหา พรรคก้าวไกลก็ผ่านพ้นมาได้ด้วยดี

อะไรคือ สิ่งที่ทำให้พรรคก้าวไกล ได้รับชัยชนะ ในครั้งนี้ ต่อคำพูดของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ที่ได้พูถึงชัยชนะของพรรคก้าวไกลในครั้งนี้ นายพิธาพูดว่า “พรรคก้าวไกลได้รับชัยชนะครั้งนี้ ไม่ได้มาจากนโยบาย ไม่ได้มาจากภาพลักษณ์ ไม่ได้มาจากวิสัยทัศน์ แต่พรรคก้าวไกลที่ได้รับชัยชนะครั้งนี้ มากจาก ทัศนคติ”

ทัศนคติอะไร ที่ทำให้พรรคก้าวไกล ก้าวขึ้นสู่ชัยชนะในครั้งนี้ อาจจะต้องทำความเข้าใจอย่างละเอียดเพื่อให้มองเห็นความแตกต่างระหว่างพรรคการเมืองเก่าแก่ ที่เคยมีความยิ่งใหญ่ในเวทีการเมืองไทยกับพรรคก้าวไกล ที่เป็นพรรคการเมืองบวชใหม่ พรรษาน้อย ได้ชัดเจนขึ้น

ทัศนคติ มาจากคำสองคำ คือ ทัศนะ และ คติ ทัศนะ แปลว่า การมองเห็น, รับรู้ , เข้าใจ  และ คติ แปลว่า การไป , ความเป็นไป , แบบอย่าง , วิธี , แนวทาง เมื่อเอาของคำมารวมรวมกัน จะเป็นคำสมาส  ทัศนคติ จึงแปลว่า  การมองเห็นในสิ่งที่จะเป็นไป

ทำไมพรรคก้าวไกลถึงกล้าที่จะยกตนเองขึ้นเป็นผู้หยั่งรู้ หรือ ตรัสรู้ ได้ขนาดนั้น จนเลขานุการพรรคก้าวไกล นายชัยธวัช ตุลาธน สามารถติดตามต่อได้ที่ : https://www.dailynews.co.th/news/2354130/ ได้รับสมยานามเป็น จูกัดเหลียงแห่งก้าวไกล หากมองลึกลงไปในพรรคก้าวไกล มีระบบการทำงานโยงไยเป็นเครือข่ายทั่วประเทศ โดยมีศูนย์ประสานงานระดับภาค ระดับจังหวัด ลงไปถึงระดับเขตการเลือกตั้ง โครงข่ายประสานงานของพรรค จะเป็นแหล่งข้อมูลที่ส่งข้อมูลเข้ามายังส่วนกลางเป็นระยะ ส่วนกลางจะมีหน้าที่ในการนำข้อมูลมาวิเคราะห์ และสังคราะห์ข้อมูลออกมาเป็นกลยุทธ์ในการทำงานของพรรค พร้อมทั้งปรับทัศนคติ ของสมาชิกพรรคไปพร้อมๆ กับกับการนำเสนอข้อมูลที่ได้รับการวิเคราะห์และสังเคราะห์ออกมาแล้วจนเป็นที่เข้าใจร่วมกันเป็นอย่างดี หรือจะเรียกว่า อุดมการณ์ของพรรคก็ว่าได้

แนวทางการวิเคราะห์ข้อมูลของพรรคก้าวไกล เป็นการวิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูล  ไปพร้อมๆกับการบวนการสร้างทัศนคติทางการเมืองให้กับสมาชิกพรรคและมวลชนเป็นกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ดังนี้

1. ทัศนคติที่มีต่อปัญหา สิ่งที่พรรคก้าวไกลกำหนดปัญหาได้ตรงจุดมากกว่าพรรคการเมืองอื่นๆ เพราะพรรคก้าวไกลมีการสำรวจข้อมูลจากสมาชิกพรรค และมีการลงพื้นที่ในการจัดเก็บข้อมูลด้วยการดับเบิ้ลเช็ค อย่างต่อเนื่อง และศูนย์ข้อมูลของก้าวไกล สามารถลำดับความสำคัญของปัญหาในแต่ละพื้นที่ได้อย่างถูกต้อง แม่นยำ จากการสำรวจข้อมูลพื้นฐาน และการลงพื้นที่ทำกิจกรรมทางการเมืองเพื่อดับเบิ้ลเช็คข้อมูล จนเป็นที่แน่ชัดว่าการลำดับความสำคัญของปัญหาเป็นไปด้วยความถูกต้อง อีกทั้งได้ร่วมกับสมาชิกพรรคและมวลชนในการสำรวจและลำดับความสัญร่วมกันอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นกิจกรรมในการปรับทัศนคติที่มีต่อปัญหานั้นร่วมกันกับสมาชิกพรรคและมวลชน จนเกิดความตระหนักกับปัญหานั้นๆ

2. ทัศนคติที่มีต่อการสืบค้นย้อนหลังถึงที่มาของปัญหานั้น โดยการลงพื้นที่ในเวลาเดียวกันกับการตรวจสอบความจริงของปัญหาหรือดับเบิ้ลเช็ค ในการพูดคุยและร่วมคิดเพื่อให้ทราบถึงที่มาของปัญหาร่วมกัน

3.ทัศนคติที่มีต่อทางเลือกในการแก้ปัญหา  ในเวทีพูดคุยในการลงพื้นที่ของพรรคก้าวไหล จะทำกิจกรรมต่อจากการค้นพบหรือทัศนคติที่มาของปัญหาแล้ว จะแลกเปลี่ยนความคิดกับสมาชิกและมวลชนเพื่อหาแนวทางในการแก้ปัญหานั้น ให้ได้วิธีการและแนวทางในการแก้ปัญหาให้มากที่สุด

4. ทัศนคติที่มีต่อแนวทางการแก้ปัญหา โดยในเวทีพูดคุยเมื่อได้แนวทางการแก้ปัญหาที่หลากหลายวิธีแล้วก็ให้สมาชิกพรรคและมวลชนได้เลือกวิธีการในการแก้ปัญหาที่ดีที่สุดเพียงแค่แนวทางเดียว ที่ดำเนินการแล้วสามารถแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างครอบคลุม

เมื่อได้แนวทางในการแก้ปัญหาแล้ว คณะกรรมการพรรคจะเอาแนวทางนั้นมาสังเคราะห์นโยบายและแนวทางปฏิบัติที่จะนำไปสู่การแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างครอบคลุม โดยจะกำหนดแนวทางหารดำเนินการเพื่อให้เกิดขึ้นกับสังคมอย่าง “ตรงไปตรงมา” สองอย่าง คือ

1) ความเป็นรูปธรรม ซึ่งทางพรรคต้อได้กำหนดวิธีทำงานที่สามารถเห็นเป็นรูปธรรมได้ คือ มีการสื่อสารที่ตรงไปตรงมาอย่างสุภาพสามารถเข้าถึงมวลชนได้ทุกกลุ่ม  , มีการดำเนินกิจกรรมทางการเมืองที่ตรงไปตรงมา สามารถอธิบายได้ , เป็นตัวแทนของมวลชนด้วยความบริสุทธิใจทำกิจกรรมการเมืองจากประชาชน เพื่อประชาชน ,

2) เป็นนามธรรม ทางพรรคก้าวไกลกำเนินกิจกรรมทางการเมืองหลายอย่าง ที่ทำให้สังคมยังไม่เข้าใจ แม้แต่พรรคการเมืองอื่น ยังประเมินพรรคก้าวไกลผิด นั่นคือ การดำเนินการทางการเมือง ที่มุ่งเป้าในวัฒนธรรมการเมืองของพรรคที่เป็นนามธรรม ประกอบด้วย ความเห็นชอบในเรื่องเดียวกันร่วมกันทั้งพรรค สมาชิกพรรค และมวลชนของพรรค  สอ่งที่ถูกนำเสนอออกมาจากสมาชิกพรรค มวลชนของพรรค มักจะไปในทิศทางเดียวกัน , ความคิดในสิ่งที่เห็นชอบร่วมกัน จะเป็นเอกภาพ ด้วยการปรับทัศนคติในความคิดในสิ่งที่เห็นชอบร่วมกันนั้น , มีความตั้งใจและมุ่งมั่นในการทำกิจกรรมทางการเมืองไปในทิศทางเดียวกับตามที่สังเคราะห์ความคิดทางการเมืองที่มาจากข้อมูลที่ร่วมกันวิเคราะห์และสังแคราะห์มาเป็นแนวทางในการขับเคลื่อนทางการเมืองของพรรค , มีสติร่วมกันทางการเมือง โดยไม่ลุ่มหลงในกิเลสทางการเมืองร่วมกัน จะเห็นชัดจากกิเลสของฝ่ายบริหารที่จะนำพรรคกล้าพัฒนา เข้าร่วม สมาชิกพรรคแสดงออกถึงความมีสติทียืนในสิ่งที่ถูกต้องของพรรคร่วมกัน เกิดแคมเปญ “มีกร ไม่มีกู” เมื่อฝ่ายบริหารพรรคเห็นว่าตนเองมีสติหลุดจากกิเลสที่อยากได้เสียงสนับสนุนในการจัดตั้งรัฐบาลเพิ่ม เมื่อตั้งสติได้จึงยกเลิกการเชิญนายกรณ์ จาติกวาณิช เข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาล , มีความตั้งมั่นอยู่ในหลักการ อย่างที่เลขานุกการพรรคก้าวไกลได้นำเสนอต่อสาธารณะว่า จะไม่แลกทุกอย่างเพื่อให้เป็นรัฐบาล

นั่นคือสิ่งที่ชี้ให้เห็นถึงความตั้งมั่นในหลักการของพรรคที่ร่วมกันสังเคราะห์ เป็นทัศนคติร่วมกันของพรรค ตั้งแต่คณะกรรมการบริหารพรรคไปจนถึงสมาชิกพรรคและมวลชนของพรรค ที่พรรคการเมืองอื่นไม่มีอย่างครบถ้วนเหมือนกับพรรคก้าวไกล ซึ่งพรรคการเมืองอื่นอาจจะทำกิจกรรมทางการเมืองในรูปแบบอื่น แต่นั่นคือเป็นทำการเมืองที่ล้ำหน้าจนกลายเป็นพรรคที่มาก่อนกาล หรือเป็นกระบวนการที่ล้าหลัง จนไม่สอดคล้องกับสถานการณ์และความต้องการของประชาชน หากพรรคการเมืองที่ไม่มีการปรับตัว ให้สอดคล้องตามยุคและสมัย ที่ยืนบนพื้นฐานแห่งความจริง พรรคการเมืองนั้นก็อาจจะถึงยุคเสื่อมสลายของพรรคการเมืองนั้นเลยก็เป็นได้