Think In Truth
“พิธา” วืดนายกฯ รอบแรก.....แล้วไงEP.3 โดย : โดยหมาเห่าการเมือง
หลังจากที่นายพิธาถูกคว่ำมติในการรับรองการเป็นนายกรัฐมนตรี กระแสของการเสนอพลเอกประวิตร วงศ์สุวรรณขึ้นมาเป็นนายกฯ แข่งกับนายพิธาในการเสนอเพื่อลงมิติรับรองรอบสอง ในวันที่ 19 กรกฎาคม 2566 ที่จะถึงนี้ โดยที่พลเอกประวิตรได้ลงนามแต่งตั้งร้อยเอธรรมนัส พรหมเผ่า เป็นวิปประสานงานเพื่อรวบรวมพรรคการเมืองร่วมจัดตั้งรัฐบาล แข่งกับนายพิธา
หลังจากที่เกิดกระบวนการ “ล่าแม่มด” ที่ชี้เป้าธุรกิจ ส.ว. รวมทั้ง #เมียน้อยสว. และการรวมธุรกิจปฏิเสธบริการให้ ส.ว. และครอบครัว ส่งผลให้มีผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของ ส.ว. จำนวนหนึ่ง จนนายเสรี สุวรรณนภานนท์ ออกมาแถลงว่าจะดำเนินคดีต่อผู้กล่าวหา และใช้โซเชียลมิเดียร์ในการเผยแพร่ข้อมูลทำให้ตนเสียหายถึงสองราย
รายงานข่าวจากประชาชาติ ธุรกิจ ออนไลน์ เผยแพร่ในวันที่ 17 กรกฎาคม 2556 เวลา 15.46 น. ระบุว่า ศาลรัฐธรรมนูญนัดพิจารณาดคีคุณสมบัติของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.พรรคก้าวไกล แคนดิเดทนายกรัฐมนตรีหนึ่งเดียวของพรรค ในวันที่ 19 กรกฎาคม 2555 ถึงแม้นว่า นายปริญญา เทวานฤมิตรกุล อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ติงคำร้อง กกต.ฟังความข้างเดียว ลุ้น "ศาลรัฐธรรมนูญ" วินิจฉัย ชี้ตีกลับได้ ซึ่งเป็นวันเดียวกันกับวันลงมติรับรองการขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีของนายพิธา รอบ 2 ซึ่งจะส่งผลให้ ส.ว. ที่มีแนวโน้มจะไม่รับรองการเป็นนายกรัฐมนตรีของนายพิธา ตามหลักการที่ควรจะเป็นของบทบาท ส.ว. ในการที่จะตัดสินใจไม่ลงมติรับรองให้กับนายพิธา ซึ่งก็เชื่อว่า ผลการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญจะออกมาหลังผลโหวตรับรองนายพิธา เรียบร้อยแล้ว
กระแสในการขับเคลื่อนเพื่อผลักให้พรรคก้าวไกลซึ่งเป็นพรรคที่มีเสียงในสภามากที่สุด เป็นพรรคฝ่ายค้าน เริ่มจากที่ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า ได้ออกมาแถลงว่า พรรคนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ มีมติรับรองเป็นนายกรัฐมนตรีตกไปแล้ว ไม่มีสิทธิ์ที่จะเสนอนายพิธาเพื่อให้สภาลงมติรับรองอีก ส.ว. กลุ่มที่ต่อต้านการเป็นรัฐบาลของพรรคก้าวไกล ก็ประกาศว่าจะลงมติรับรองให้แคนดิเดทเพื่อไทยเป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อมีเพื่อไทย ต้องไม่มีก้าวไกล
นายภูมิธรรม เวชชัย เลขานุการพรรคเพื่อไทย ก็ออกมาแถลงว่าจะไม่ลงมติให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 272 ซึ่งเป็นการปิดสวิซต์ของ ส.ว. และก่อนการเลือกตั้ง พรรคเพื่อไทยก็เสนอแคมเปญในการปิดสวิซต์ ส.ว. เป็นนโยบายของพรรคในการหาเสียง
พลตำรวจเอกเสรีพิศุทธ์ เตมียเวช ก็ออกมาแสดงความอึดอัดในการร่วม MOU กับทางพรรคก้าวไกล ที่ดูเหมือนจะถูกมัดแขนมัดขาให้ผูกติดกับพรรคก้าวไกล ด้วยเหตุที่นายพิธา ไม่ผ่านการรับรองเป็นนายกรัฐมนตรี ในรอบแรก ก็เสนอพรรคก้าวไกลผ่านสื่อมวลชนให้ พรรคก้าวไกลควรเสียสละเป็นพรรคฝ่ายค้าน แต่ถึงอย่างไร ก็ยังมีข่าวว่าพลตำรวจเอกเสรีพิศุทธ์ ยังติดต่อประสานไปยังพรรคประชาธิปัตย์ และชาติไทยพัฒนา เพื่อขอให้ลงมติรับรองให้นายพิธาเป็นนายกรัฐมนตรี โดยที่นายวรวุฒิ ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนาก็ยอมรับว่าได้รับการติดต่อประสานจากพลตำรวจเอกเสรีพิศุทธ์ให้ลงมติรับรองนายพิธาเป็นนายกฯ ในวันที่ 19 ก.ค. นี้จริง แต่ทางพรรคขอปรึกษาในพรรคกันก่อน แต่ถ้าจะลงมติรับรองก็คงจะลงมติให้กันทั้งพรรค
นายสมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ บ.ก.ลายจุด ได้ออกมาเคลื่อนไหวทันทีเมื่อนายพิธาไม่ผ่านการรับรองให้เป็นนายกรัฐมนตรี โดยได้นำคาร์ม็อบออกไปพบ ส.ว. ที่ขาดการประชุม และงดออกเสียงในการโหวตนายกรัฐมนตรี และยื่นหนังสือให้ลงนามลาออกจากสมาชิกวุฒิสภา อีกทั้งโพสต์ในเฟชบุคส่วนตัวว่า “เราปล่อยให้ สว มีอำนาจกำหนดประเทศได้อย่างไร ? ในเมื่อระบอบประชาธิปไตยผู้ที่มีอำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน แล้วประชาชนได้ไปโหวดเลือกตัวแทนของเขาที่จะเข้าไปทำหน้าที่ในสภาและเลือกกันเองเพื่อที่จะเป็นฝ่ายบริหาร เมื่อรวบรวมได้เกินกึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนราษฏรที่ประชาชนเลือกมาก็ควรได้ข้อสรุปว่าใครจะเป็นผู้นำประเทศใครเป็นฝ่ายบริหาร สว ซึ่งถูกเลือกมาจาก คสช ซึ่งนอกจากไม่ยึดโยงกับประชาชนแล้วยังเป็นกลุ่มคนที่ปล้นอำนาจอธิปไตยของประชาชน การอ้างว่า สว เป็นองค์กรภายใต้รัฐธรรนูญที่มีบทเฉพาะกาลให้ทำหน้าที่ในการเลือกนายกรัฐมนตรีนั้น เป็นตรรกะทุเรศ เป็นสัญญาไม่เป็นธรรม เป็นสัญญาที่ฉ้อฉล และขัดแย้งกับหลักการหลักในการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ก็ในเมื่อประชาชนผุ้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยได้เลือกตัวแทนของตนเองแล้ว แต่ สว ออกเสียงแย้งกับการใช้อำนาจอธิปไตยของปองชน นี่เป็นพฤติกรรมหลักล้างหลักการอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน ดังนั้นการกระทำดังกล่าวของ สว ที่ขัดขวางการเลือกของประชาชน จึงเป็นการขัดรัฐธรรมนูญ ขัดหลักการประชาธิปไตย เราปล่อยให้เศษซากเผด็จการเหิมเกริมอยู่เช่นนี้ได้อย่างไร เราจะยกประเทศให้คนพวกนี้ปกครองและชี้ขาดความเป็นไปของชาติได้อย่างไร มีเพียงหนทางเดียวที่ความถูกต้องและสังคมจะกลับสู่ความปกติได้คือ เจ้าของอำนาจอธิปไตยที่ไปลงคะแนนเลือกตั้ง ต้องออกมาแสดงเสียงของคุณอีกครั้งบนแผ่นดินไทยนี้ เตรียมรองเท้าผ้าใบของตนเองไว้ให้ #พร้อม รอวันนัดหมายที่จะเกิดขึ้นเร็วๆนี้" พร้อมทั้งได้ โพสต์นัดหมายการชุมนุมกินหมูกระทะ 300 โต๊ะ ในวันที่ 23 กรกฎาคม นี้ โดยยังไม่ได้ระบุสถานที่
ผลการประชุม 8 พรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาล ได้เสนอชื่อนายพิธา ลิ้มเจริญรัตย์ ต่อรัฐสภาเพื่อลงมติรับรองเป็นนายกรัฐมนตรี ครั้งที่ 2 ในวันที่ 19 กรกฎาคม นี้ ถึงกระนั้นด้วยท่าทีของนายภูมิธรรม เวชชัย ที่ร่วมออกรายการคุยนอกจอ ของนายสรุยุทธ สุทัศนะจินดา กรรมกรข่าว โดยนายภูมิธรรมได้ให้สัมภาษณ์โดยสรุปใจความได้ว่า “เข้าไปเป็นรัฐบาลให้ได้ สำคัญสุด ยื้อไปเดี๋ยวก็มีโรคแทรกซ้อน แต่นายพิธาและพรรคก้าวไกลได้เสนอประเด็นใหม่ ที่ยากต่อความเป็นไปได้ ทำให้เสียเวลาในการจัดตั้งรัฐบาล” นายภูมิธรรมไม่เห็นด้วยต่อประเด็นที่พรรคก้าวไกลนำเสนอ แต่ก็ตอบไม่ได้ต่อคำถามที่ว่า “ทำไมถึงตำหนิทางพรรคก้าวไกลฝ่ายเดียว ทำไมไม่ตำหนิ ส.ว.
คำถามที่มีต่อนายภูมิธรรม เวชชัย และนายภูมิธรรมก็อ้ำๆ อึ้งๆ เลี่ยงไม่ตอบให้ตรงคำถาม ทำให้สังคมมองว่า พรรคเพื่อไทยดำเนินการทางการเมือง เพียงแค่รอให้ส้มหล่น คือพรรคเพื่อไทยรอไม่ได้ หากนานออกไปโอกาสเพื่อไทยจะได้เป็นนายกรัฐมนตรีก็จะไม่มี ถ้าดำเนินการตามแนวทางการสู้ 2 สมรภูมิของพรรคก้าวไกล คือเสนอนายพิธาเป็นนายกรัฐมนตรีครั้งที่ 2 และแก้ไขรัฐะรรมนูญ มาตรา 272 นั่นคือเดินครับ 2 ครั้ง สองสมรภูมิ โอกาศพรรคเพื่อไทยจะได้เป็นนายกรัฐมนตรีไม่มี เพราะมีปัจจัยของวาระของวุฒิสมาชิกเข้ามามีตัวแปรในการสมการทางความคิดด้วย ดังนั้นนายภูมิธรรมจึงเร่งให้มีการัดตั้งรัฐบาลโดยเร็ว โดยไม่สนใจว่าจะรวมกันพรรคไหน หรือให้พรรคก้าวไกลเป็นฝ่ายค้าน
เกมยุทธวิถีที่พรรคก้าวไกลวางแนวทางการเดินทางการเมือง มันน่าสนใจ เมื่อพรรคก้าวไกลแสดงออกถึงความไม่กระหายอยากมีอำนาจในการบริหารประเทศ เพียงแต่แสดงบทบาทตามความประสงค์ของประชาชน การที่ไม่พูดถึงการแก้ ม. 112 แต่หันมาเสนอแก้ ม.272 แทนนั้น ย่อมไม่มีผลแตกต่างกัน คือโอกาสที่นายพิธาจะได้รับความเห็นชอบจากวุฒิสมาชิก น้อยเหมือนเดิม แต่ก็เป็นการเปิดผ้าคลุมให้เห็นว่า ฝ่าย ส.ว. ที่ไม่เห็นชอบลงมติให้นายพิธา เป็นนายก ได้ใช้ ม. 112 เป็นเครื่องมือในการสกัดกันไม่ให้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีตามระบบ
ถึงแม้นายพิธาจะไม่ผ่านความเห็นชอบเป็นนายกรัฐมนตรีในวันที่ 19 กรกฎาคม นี้ ก็ยิ่งทำให้สังคมเห็นว่า ฝ่ายเผด็จการที่มีมือที่มองไม่เห็น ไม่อยากให้ประชาชนมีอำนาจในการบริหารัฐบาล ตามการกำกับการเมืองของกลุ่มอำนาจนิยมที่อยู่ในมุมมืดให้พรรคการเมืองในฝ่ายอนุรักษ์นิยมได้มีอำนาจ เพื่อฝ่ายตนจะได้ประโยชน์จากการออกนโยบายเอื้อการดำเนินการแสวงหาประโยชน์จากการลงทุนของภาครัฐ ซึ่งเป็นเสมือนกับปูเสฉวนที่ซ่อนอยู่ในเปลือกหอย สมรภูมิที่สองคือการแก้ ม.272 ซึ่งอาจจะให้เวลาประมาณเดือนกว่า ถึง สามถึงสี่เดือน นั่นคือครั้งที่สามในการเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีเป็นนายกฯ จากพรรคเพื่อไทย ถ้าแก้ได้ พรรคเพื่อไทยก็อาจจะได้เป็นนายกรัฐมนตรีโดยมีพรรคก้าวไกลเป็นพรรคร่วม ซึ่งปราศจากพรรคลุง หรือฝ่ายอนุรักษ์นิยม ถ้าแก้ไม่ได้ก็จะทำให้ทางออกทางการเมืองในการจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้ ก็จะทำให้เกิดความชอบธรรมในการเสนอญัตติให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรได้เอา มาตรา 5 วงเล็บ 2 เข้ามาดำเนินการ ซึ่งนั่นก็จะทำให้หัวหน้าพรรคก้าวไกลได้รับความชอบธรรมในการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
ใครบอกว่า พรรคก้าวไกลเป็นพรรคไก่กา เป็นพรรคการเมืองของเด็กไร้สาระ ที่เป็นพรรคคนรุ่นใหม่ ที่มีประสบการณ์ทางการเมืองต่ำ ไม่อยู่ในสายตาทางการเมือง เมื่อเห็นเกมการก้าวเดินของพรรคก้าวไกลแล้ว ถือว่าเป็นพรรคการเมืองที่มีกลยุทธและวิธีการขับเคลื่อนทางการเมืองที่ล้ำยุคมากกว่าพรรคการเมืองของทุกพรรคในประเทศไทยเลย