Think In Truth

เมื่อเผือกร้อนตกอยู่ในมือ'พรรคเพื่อไทย' โดย : หมาเห่าการเมือง 



หลังจากที่พรรคก้าวไกลวืดการจัดตั้งรัฐบาลจากมติการรับรองนายพิธาเป็นนายกรัฐมนตรีตกไป โดยการต่อต้านจาก สว. และกลุ่มพรรคการเมืองเสียงส่วนน้อย หรือพรรคฝ่ายอนุรักษ์นิยม  ที่มุ่งประเด็นโจมตีในนโยบายการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 112  พรรคก้าวไกลจึงยอมที่จะให้พรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำหลักในการจัดตั้งรัฐบาล และจะเสนอชื่อให้แคนดิเดทนายรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทยเป็นนายกรัฐมนตรี

สิ่งหนึ่งที่พรรคเพื่อไทยรู้สึกกระอักกระอ่วนใจ ในการจัดทัพรัฐบาล ของนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 เป็นอย่างมากคือ การที่พรรคก้าวไกลไม่ยอมถอยในการแก้รัฐธรรมนูญ มาตรา 112 ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่ขัดแย้งกับพรรคการเมืองที่เพื่อไทยจะเอาเทียบเชิญมาเข้าร่วมรัฐบาล ไม่ว่าจะมาจากวาทกรรมหาเสียง “มีลุง ไม่มีเรา” ซึ่งเป็นกำแพงสำคัญที่ทำให้พรรคเพื่อไทยลำบากในการที่จะเจราพรรคการเมืองอื่นเข้ามาร่วมรัฐบาล  เพื่อให้มีเสียงมากพอในการจัดตั้งรัฐบาล  ไม่แพ้กับการไม่ลดเพดานการแก้ ม.112

กระแสการแสดงออกเพื่อให้เกิดการจัดตั้งรัฐบาลได้โดยสะดวกนั้น เกิดจากฝ่ายอนุรักษ์นิยมเองก็อยากร่วมจัตั้งรัฐบาล หากแต่ยังติดเงื่อนไขของการตั้งการ์ดของพรรคก้าวไกล ในช่วงการเสียง อย่างพรรคภูมิใจไทย ซึ่งมี สส. ที่ลุกขึ้นอภิปรายในการประลงชุมลงมติรับรองนายพิธาเป็นนายกรัฐมนตรี ก็มีการอภิปรายอย่างรุนแรงที่ดูเหมือนจะไม่สามารถจะร่วมงานกันได้ พรรคพลังประชารัฐและรวมไทยสร้างชาติเองก็ยังคงติดปัญหาในการปฏิเสธการร่วมรัฐบาลของพรรคก้าวไกล พรรคประชาธิปัตย์ก็ยังคงนิ่งดูท่าทีแต่ก็แสดงออกถึงยังไม่มีความรู้สึกโอเคกับการไม่ลดเพดานการแก้ ม.112 แม้แต่พรรคชาติไทยพัฒนาเองก็เช่นกัน

ถึงแม้แกนนำพรรคเพื่อไทยได้เข้าพบหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย และมีการพูดคันกันในเบื้องต้นแล้ว พรรคภูมิใจไทยก็ยังคงมีท่าที ไม่ยอมรับที่จะมีพรรคก้าวไกลร่วมรัฐบาล พร้อมกันพลตำรวจเอกเสรีพิศุทธ์ เตมียเวช ก็ได้แสดงให้พรรคก้าวไกลเสียสละเป็นฝ่ายค้าน เพื่อให้การเมืองเดินได้ แต่ก็สร้างความไม่พึงพอใจของประชาชนจำนวนที่ออกมาวิจารณ์ พ.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ว่า “มีเพียงเสียงเดียว กล้าเอ่ยปากขับไล่พรรคอันดับหนึ่งเป็นฝ่ายค้าน”

ทางพรรคก้าวไกลเองก็ความเคลื่อนไหวถึง จะสู้ให้ถึงที่สุด นายวิโรจน์  ลักคณาอดิศร สส. บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล ได้ให้สัมภาษณ์ออกรายการข่าว “เรื่องเล่าเช้านี้” ของนายสรยุทธ์ สุทัศนจินดา ได้ให้คำสัมภาษณ์อยู่ตอนหนึ่งว่า “สู้กับคนหน้าด้าน เราต้องหน้าด้านกว่า” ดังนั้นข้อสรุปของพรรคก้าวไกล คือ “กูไม่ออก ถ้ากูออกประชาชนจะกินอะไร” ต่อข้อความที่ให้สัมภาษณ์ของนายวิโรจน์ ลักคณาอดิศร เป็นเสียงที่ย้อนกลับไปมวลมวลชน ที่เกิดกระแสพร้อมสู้ต่อ ซึ่งเป็นพลังหนุนนอกสภาให้กับพรรคก้าวไกล

พรรคเพื่อไทยเองจำเป็นต้องคิดหนักหนัก คิดอย่างละเอียด เพราะการที่ทิ้งพรรคก้าวไกล ไปจับมือกับพรรคฝ่ายรัฐบาลเก่า ซึ่งมีเสียงข้างน้อย แต่ก็พอที่จะจัดตั้งรัฐบาลได้ คือ 182 เสียง รวมกับพรรคเพื่อไทย ก็จะเป็น 323 เสียง ถึงเสียงจะไม่พอในการผ่านมติในการจัดตั้งรัฐบาล แต่ก็จะมีเสียงจาก สว. คอยช่วยหนุนให้สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ แต่พรรคเพื่อไทยก็จะมีภาพลักษณ์ไม่ดีในทางการเมือง ซึ่งจะส่งผลให้กระทบกับฐานเสียงนิยมในอนาคตเป็นอย่างมาก กอร์ปกับ พรรคก้าวไกลเป็นฝ่ายค้าน ซึ่งจะเป็นฝ่ายค้านที่มีพลังและมีอิทธิพลต่อการตรวจสอบรัฐบาลได้อย่างมีประสิทธิภาพ นั่นคือ การสร้างความนิยมของพรรคก้าวไกลในฐานะพรรคฝ่ายค้านจะเกิดกระความนิยมเป็นอย่างมาก เพราะสามารถยื่นญญัติไดก็ได้ในสภา เพราะมีเสียงรับรองในการเสนอญัตติได้โดยไม่ต้องไปขอกำลังหนุนจากพรรคร่วมฝ่ายค้ายพรรคใดเลย

ความเป็นเอกภาพในการตรวจสอบรัฐบาล จะส่งผลต่อความน่าเชื่อของประชาชนต่อพรรคก้าวไกลจะสูงมาก ซึ่งจะส่งผลต่อการเลือกตั้งในสมัยต่อไป ที่จะมีผลกระทบต่อพรรครัฐบาลทุกพรรค ถึงอาจจะทำให้พรรคบางพรรคต้องสูญสลายไปจากรัฐสภาในอนาคต ซึ่งเป็นความกังวลที่มีต่อพรรคเพื่อไทยเป็นอย่างมาก เพราะพรรคเพื่อไทยถือว่าพรรคก้าวไกลเป็นคู่แข่งทางการเมืองที่น่ากลัวที่สุด สิ่งที่พรรคเพื่อไทยจะทำได้ในเวลานี้ คือ ต้องจับมือร่วมกับพรรคก้าวไกลให้เหนียวแน่น แล้วพยามเจรจากับพรรคบางพรรคมาร่วมรัฐบาลให้มีเสียงมากพอโดยไม่รอการสนับสนุนจาก สว. แต่นั่นก็ต้องบริหารจัดการความขัดแย้งระหว่างพรรคก้าวไกล กับ พรรคที่จะเชิญเข้ามาร่วม

ถ้าจะประเมินความเป็นไปได้ คือพรรคเพื่อไทยคงจะเลือกพรรคภูมิใจไทยเข้ามาร่วมรัฐบาลด้วย เพราะพรรคภูมิใจไทยเพียงแค่พรรคเดียว ก็มีเสียงมากพอที่จะตั้งรัฐบาลได้โดยไม่อาศัยเสียง สว. สนับสนุน ซึ่งอาจจะต้องแลกเปลี่ยนในการบริหารกระทรวงสำคัญ เช่น กระทรวงคมนาคม และกระทรวงพลังงาน เป็นต้น ส่วนกับพรรคก้าวไกล ก็อาจจะยอมให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แล้วยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่ ภายใตรัฐธรรมนูญ ที่ผ่านความเห็นขอบ และลงพระปรมาภิทัย เพื่อบังคับใช้แล้ว

ต่อประเด็นที่พรรคภูมิใจที่ ออกมาแสดงถึงจะไม่ร่วมรัฐบาล หากมีพรรคก้าวไกลร่วมรัฐบาล โดยปล่อยวาทกรรม “มีก้าวไกล ไม่มีภูมิใจไทย” นั่น เป็นเพียงการรักษามิตรภาพของพรรคฝ่ายอนรักษ์นิยมด้วยกัน และเป็นการต่อรองทางการเมือง ที่ฝ่ายภูมิใจไทยจะได้ประโยชน์อะไร??...ในการเข้าร่วมรัฐบาล

เกมการบริหารจัดการทางการเมืองของพรรคเพื่อไทยตอนนี้ ไม่ใช่เรื่อง่าย ที่จะต้องตัดสินใจ เพราะมีปัจจัยที่เป็นตัวแปรในการคิดและตัดสินใจทางการเมือง และการก้าวเดินของพรรคเพื่อไทย ไม่ว่าจะเป็น “การกลับบ้านของคนแดนไกล” หรือ “การรักษาเสถียรภาพของรัฐบาลบนความขัดแย้งทางการเมืองของพรรคร่วมรัฐบาล” หรือ “กระแสความนิยมของพรรคเพื่อไทยเองในอนาคต” หรือ “การจัดสรรบทบาทหน้าที่ของนักการเมืองรุ่นใหญ่ในพรรค” หรือ “การวางแนวทางการบริหารจัดการรัฐบาลที่ผลักดันให้ข้าราชร่วมมืออย่างมีประสิทธิภาพ” และปัจจัยอื่นๆ อีกมากมาย ที่รุมเร้าที่เป็นเหมือนเผือกร้อนที่พรรคเพื่อไทยถือออยู่ในมือ ที่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่เผือกที่ร้อนในมือ จะเย็นลง.....ตามดูกันต่อไป