Think In Truth
ฝนตกขี้หมูไหล'พรรคเพื่อไทย'ร้อนระอุ โดย : โดยหมาเห่าการเมือง
ฝนตกขี้หมูไหล คนจัญไรชงดื่มกัน
เลือดเนื้อบูชายัญ เป็นน้ำปั้นอำนาจกู
รศ.ดร.เกษียณ เตชะพีระ
เป็นบทประพันธ์แห่งยุคความมืดของสังคมประชาธิปไตยในประเทศไทย ที่ฝ่ายประชาธิปไตยกำลังถูกกระทำย่ำยี ประหนึ่งอยู่ในยุคแห่งความกลัวในฝรั่งเศส ก่อนจะสิ้นอำนาจของนโปเลียน เมื่อเกิดปฏิวัติชาวนาในฝรั่งเศส สังคมที่ขาดซึ่งความยุติธรรม สังคมที่ไร้จริยธรรมในการปกครอง สังคมแห่งการแย่งชิงอำนาจที่ไร้ซึ่งความเมตตา ที่มีกติกาที่บิดเบี้ยวและหลักการที่ไม่ถูกต้อง สังคมแห่งการกดขี่ เอารัด เอาเปรียบ ที่เข็นอำนาจในทุกองค์กรออกมาบีบให้ได้มาซึ่งอำนาจการปกครองโดยไร้ซึ่งความรับผิดชอบชั่วดี ต่อบ้านเมือง
เมื่อนายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย แสดงความเหี้ยนกระหือรืออยากเป็นรัฐบาล จนแสดงตรรกะวิบัติออกนอกหน้า ที่อ้างว่า สิบพรรคเสียงส่วนน้อยรวมกันได้ 188 เสียง มากกว่า พรรคก้าวไกล 151 เสียง หากจะพูดเชิงศาสตร์แห่งคณิตศาสตร์ ก็ถือว่าคุณหมอซึ่งถือว่าเป็นบุคคลที่มีปัญญาระดับแนวหน้าของเมืองไทย ตัวเลขพื้นฐานเท่านี้ ทำไม?...หมอจะตอบไม่ถูก คุณหมอพูดถูกแหละตามหลักคณิตศาสตร์ แต่คุณหมอยังขาดจริยธรรมที่จะกลั่นกรองบทสรุปทางคณิตศาสตร์อย่างนี้ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ในการใช้เพื่อสรุปได้อย่างถูกต้องตามบริบทที่ศาสตร์คณิตศาสตร์นี้เป็นปัจจัยในการตัดสินใจ นี่คือสถานการณ์การจัดตั้งรัฐบาลภายใต้กติการัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ที่ยึดโยงผูกพันธ์กับความรู้สึกนึกคิดของคนในสังคม หากหมอชลน่านเสนอออกมาอย่างนี้ด้วยความจริงใจและบริสุทธิใจ นั่นสังคมจะสรุปว่า หมอชลน่านพูดในฐานะหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กำลังขับไล่พรรคก้าวไกล ซึ่งเป็นพรรคที่มีเสียงเป็นอันหนึ่งของสภา ไปเป็นฝ่ายค้าน และคุณหมอได้หารือกับคนในพรรคแล้วหรือยัง พรรคก้าวไกลเขาประกาศแล้วนะว่า “สู้กับคนหน้าด้าน เขาจะหน้าด้านกว่า” ซึ่งนั่นหมายถึงเขาไม่แคร์ที่คุณจะขับไล่หรือถีบออกจากพรรคร่วมรัฐบาล แล้วฉีก MOU เพราะเขาจะยังแบกเอาความชอบธรรมในการจัดตั้งรัฐบาลไปเป็นฝ่ายค้านด้วย โดยที่ความรู้สึกของประชาชนที่เป็นไทยเฉยซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ เริ่มเปิดใจรู้สึกถึงความน่าเห็นใจพรรคก้าวไกลที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม เหมือนกวางน้อย อยู่ท่ามกลางฮายีน่า
ในขณะเดียวกัน กระแสความไม่ไว้ใจ ความระแวงที่มีต่อพรรคเพื่อไทยของสังคมไทยเพิ่มมากขึ้น แค่ลมทะเลพัดผ่านพรรคเพื่อไทยเข้าจมูกประชาชน สีหน้าของประชาชนแสดงออกถึงความไม่พึงประสงค์ที่ได้กลิ่นนี้เลย ที่พรรคเพื่อไทยเล่นดนตรีบนแผ่นโน้ตในเพลงเดียวกันกับฝ่ายอนุรักษ์นิยม แม้แต่พรรคเล็กๆ ที่มี สส.เพียงคนเดียวที่พยายามให้เหตุผลถึงประเทศและประชาชนต้องการให้มีรัฐบาลโดยเร็ว ประเทศรอไม่ได้ ซึ่งเป็นเหตุผลที่ขัดแย้งเกี่ยวกับความอดทนของประชาชน ที่เคยอดทนกับความกล้ำกลืนทนอยู่กับรัฐบาลที่มาจากการทำรัฐประหาร และเขียนกติกาสืบทอดอำนาจด้วยกติการที่บิดเบี้ยว และอยู่บริการประเทศมาแล้ว 9 ปี พอถึงเวลาที่ประชาชนต้องการเปลี่ยนแปลง กลุ่มอำนาจนิยมก็ยังมีตรรกะวิบัติเพียงเพื่อที่จะหลอกให้นักการเมืองที่ประชาชนเลือกมาหลงกล แต่คราวนี้มันไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด เพราะประชาชนไม่ได้ปล่อยให้นักการเมืองที่ตนเลือกมา ดำเนินกิจกรรมทางการเมืองโดยลำพัง ความเคลื่อนไหวของนักการเมือง จะถูกจับตามองและติดตามจากประชาชนอย่างไกล้ชิด และพร้อมที่จะรวมพลังผักดันช่วยเหลือภายนอกสภา ถ้าตัวแทนของเขากระทำในสิ่งที่ถูกต้อง และชอบธรรม แต่ถ้าหากกระทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ขาดซึ่งจริยธรรม ความรับผิดชอบชั่วดี ประชาชนก็จะร่วมกันก่นด่าในทุกรูปแบบ
ความไม่เห็นพร้องของสมาชิกพรรคเพื่อไทย มันบ่งบอกถึงอุณหภูมิทางการเมืองในพรรคเพื่อไทยเอง โดยสังคมได้สะท้อนความคิดที่บิดเบี้ยวที่หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ที่บอกว่าพรรคฝ่ายรัฐบาลเดิมรวมกัน ได้ 188 เสียง มากเป็นที่หนึ่ง ส่วนพรรคก้าวไกล เป็นอันสอง พรรคเพื่อไทยเป็นอันดับสาม นี่คือความคิดทางคณิตศาสตร์ที่เป็นตรรกะทางการเมืองของหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ที่มีสถานะทางระดับสมองเป็นถึงนายแพทย์ ที่ขาดจริยธรรมในการกลั่นกรองความคิด ผิด ถูก ชั่ว ดี เหมาะสมหรือไม่เหมาะสม ซึ่งเป็นสิ่งที่ชี้ชัดว่า การศึกษาไทยสอนให้คนเป็นคนเก่ง แต่ขาดการกลั่นกรองพฤติกรรมแห่งความดี ในการแสดงออก
สมาชิกพรรคเพื่อไทยบางส่วน เช่นนายจาตุรนต์ ฉายแสง และนายณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ มีท่าทีที่ไม่เห็นด้วยกับตรรกะวิบัติของหัวหน้าพรรค ซึ่งเป็นอุณหภูมิที่ร้อนระอุขึ้นภายในพรรคเพื่อไทยเอง
ในขณะเดียวกัน นายเชาวฤทธิ์ ขจรพงศ์กีรติ หัวหน้าพรรคพลังสังคมใหม่ ซึ่งเป็น สส. หนึ่งเดียวของพรรค และเป็นตัวแทนของพรรคเพื่อไทย เสนอให้มีการฉีกทิ้ง MOU แปดพรรค ในการประชุมพรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาล เพราะได้หารือกับนายปรีดา บุญเพลิง สส.พรรคครูไทย และหัวหน้าพรรคใหม่แล้ว ในความเป็นไปได้ในการจัดตั้งรัฐบาล ควรต้องยกเลิก MOU ที่พรรคเพื่อไทยร่วมกันกับอีกแปดพรรคในการร่วมจัดตั้งรัฐบาล นั่นก็เป็นการเล่นเกมการเมืองตามโน้ตดนตรีที่ถูกฝ่ายอนุรักษ์นิยมได้เตรียมไว้ให้นักเลือกตั้งได้เล่นกันในโรงละครเกียกกราย จนในที่สุด 8 พรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาล ก็ไม่สามารถหารือรือกันได้ลงตัวแล้วต้องเลื่อนกันออกไป
ในช่วงเวลาที่รอการกำหนดวันลงมติรับรองนายกรัฐมนตรี ประชาชนในกรุงเทพฯ คงต้องรับมลพิษทางอากาศกันอย่างหนัก เนื่อจากพรรคการเมืองทุกพรรคก็จะวิ่งร็อบบี้กันอย่างหนัก เพื่อให้ได้อยู่ในกลุ่มร่วมจัดตั้งรัฐบาล หรือใครที่มีความหวังในการที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี ก็คงอยู่ไม่ติดบ้าน เส้นทางสุกสาย จะมีการสัญจรอย่างคับคั่ง จะเห็นอยู่เพียงแค่ก้าวไกลเท่านั้นที่จะไม่ขยับรถออกวิ่งรวบรวมพรรคโน้นพรรคนี้ เข้ามาเพื่อรวบรวมเสียงในการจัดตั้งรัฐบาล หรือวิ่งล็อบบี้เพื่อให้ได้เข้าร่วมรัฐบาล บรรยากาศในพรรคก้าวไกลก็คงจะมีอากาศที่สดชื่น กาแฟอร่อย นั่งดูพวกนักการเมืองฝ่ายอำนาจนิยม วิ่งแสวงหาช่องทางที่จะได้มาซึ่งอำนาจกันอย่างสบายใจ
แต่เมื่อหันกลับไปมองเพื่อไทย ซึ่ง สส. เป็นคนละพวกแต่อยู่ในพรรคเดียวกัน และพรรคการเมืองอื่นๆ โดยรวม ก็จะเป็นพวกเดียวกัน แต่อยู่คนละพรรค ตามยุทธศาสตร์การเมืองยุคเดิม ที่มองว่ากระบวนการบริหารจัดการทางการเมืองที่เหนียวแน่นที่สุด คือ การเมืองแบบเครือญาติ ดังนั่น เราจะเห็นคนนามสกุลเดียวกัน แต่เป็นนักการเมือง คนละพรรค ทั้งที่เป็นญาติใกล้ชิดกัน หรือลูกพี่กับลูกน้องแยกกันอยู่คนพรรค วัฒนธรรมการเมืองแบบครือญาติมันถูกใช้กันมานาน จนกลุ่มนักการเมืองด้วยกัน แต่อยู่กลุ่มผลประโยชน์คนละกลุ่ม ก็จะกล่าวหาซึ่งกันและกันเมื่ออีกฝ่ายได้อำนาจปกครองมาครอง ว่า “สภาผัวเมีย” บ้างหละ “สภาครอบครัว” บ้างหละ สิ่งที่คนในสังคมส่วนใหญ่ ซึ่งไม่ได้มีส่วนกับสายสัมพันธ์เชิงเครือญาติหรือความสัมพันธ์ทางการเมือง ก็ดูเหมือนไม่ได้รับประโยชน์อะไรกับการเมือง แต่ก็ต้องมีหน้าที่ในการเลือกครอบครัวของกลุ่มนักการเมือง เข้าไปแบ่งปันผลประโยชน์ ในหมู่นักการเมืองเด้วยกัน
ภาพแห่งพรรคเครือญาติ ทั้งญาติห่าง ญาติใกล้ชิด ซึ่งเห็ภาพชัดเจนในพรรคเพื่อไทย เมื่อพรรคเพื่อไทย ต้องรับผิดชอบในการจัดตั้งรัฐบาล สายสัมพันธ์แห่งเครือญาติทางผลประโยชน์ทางการเมือง จึงฉายภาพให้ประชาชนได้เห็นชัด อีแร้งทางการเมือง พยายามที่จะอาศัยเครือญาติทางการเมือง ที่บางพรรคเอางูเห่ามาฝากไว้ บางพรรคก็อ้างสายสัมพันธ์กับคนแดนไกล บางพรรคก็อ้างถึงสายสัมพันธ์แห่งความจงรักภักดี เพื่อให้เป็นช่องทางในแทรกตัวเข้าใหกล้ชิดพรรคเพื่อไทย เพื่อถีบพรรคอันดับหนึ่งให้หลุดไปจากพรรคร่วมในการจัดตั้งรัฐบาล ทั้งๆ ที่พรรคเพื่อไทยเอง ก็อาศัยซากศพของคนเสื้อแดงที่พยายามจะเป็นความหวังให้ความยุติธรรมกลับคืนสู่ความสูญเสีย แต่พอมาถึงวันนี้ บางกลุ่มที่พยายามจะมีบทบาทในการจัดตั้งรัฐบาลของพรรคเพื่อไทย ก็จะทิ้งซากศพคนเสื้อแดงไปกะลิ้มกะเหลี่ยมดื่มซ็อคมิ้น แล้วอาศัยปากของพรรคที่มี สส. เพียงคนเดียว เป็นลิ่มตอกให้พรรคก้าวไกล ออกห่างจากความชอบธรรมในการเป็นรัฐบาล ในขณะเดียวกันกับสมาชิกพรรคเพื่อไทยบางกลุ่ม ก็ยังคงมองถึงมวลชนว่าจะคิดอย่างไร และอนาคตของพรรคเพื่อไทย จะเป็นอย่างไร เวลานี้มันคงสายไปแล้วที่จะทำให้มวลชนพรรคเพื่อไทย จะไม่ระแวง ยังคงไว้วางใจ หรือเชื่อมั่นว่าจะยังคงยืนข้างฝ่ายประชาธิปไตย ประชาชนที่เป็นมวลชนคนเสื้อแดงก็คงจะหมดหวังต่อการพึ่งพาทางการเมืองกับพรรคเพื่อไทยไปไม่น้อย
ไฟใต้ดินป่าพรุกำลังระอุ ที่พร้อมจะเปิดช่องอากาศบนผิวดิน ให้เปลวไฟใต้ดินลุกโชนขึ้นมาแผดเผาความน่าเชื่อถือที่มีต่อพรรคเพื่อไทย และความอยุติธรรมที่ฝ่ายอนุรักษ์นิยมกระทำกับประชาชน บรรยากาศอึมครึมนี้ไม่ใช่เพราะอยู่ในฤดูฝน แต่เป็นบรรยากาศแห่งความเก็บกด ไม่พอใจของประชาชน ที่กำลังกัดฟัน กำหมัดแน่น ที่พร้อมจะลูกขึ้นมาเปลี่ยนแปลง บรรยากาศอย่างนี้ เป็นบรรยากาศที่กำลังก่อตัวของความวุ่นวายทางการเมือง เป็นบรรยากาศที่สังคมต้องการผู้นำ และเป็นบรรยากาศที่พร้อมจะให้เกิดวีระบุรุษ เราก็คงต้องคอยตามดูว่า พรรคเพื่อไทย จะเป็นนพรรคที่ฉลาดและขยัน หรือจะเป็นพรรคที่ขยันแต่โง่ ตัวชี้วัดพรรคเพื่อไทย ก็จะมีเงื่อนไขให้สังคมได้ตัดสินเพียงแค่สองเงื่อนไขนี้เท่านั้น อีกไม่นาน สังคมจะได้ข้อสรุปเอง