Think In Truth
แผนปรองดองแห่งชาติ...ฉบับ'ช็อกมินต์' โดย : หมาเห่าการเมือง
ความสับสนอลเวงทางการเมือง เรื่องทักษิณจะได้กลับไทยไหม??...เป็นประเด็นคาใจของคนในประเทศมาก ข้อมูลที่สับสน เปลี่ยนไป กลับมา ประหนึ่งว่า มีคนปั่นกระแสความสนใจของคนไปสู่การกลับบ้านของทักษิณ มากกว่าการจัดตั้งรัฐบาล ที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ ซึ่งเดิมทีก้จับกันอยู่ 8 พรรค มีการลงนามใน MOU เพื่อที่จะร่วมกันผลักดันให้สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ แต่แล้วโหวตครั้งที่หนึ่ง ผลก็คือนายพิธา จากพรรคก้าวไกล ก็วืดไป ภาระในการจัดตั้งรัฐบาลจึงตกมาอยู่ในมือของพรรคเพื่อไทย สถานการทางการเมืองจึงเปลี่ยนไปอีกด้านหนึ่ง โดยการแสดงละครหลอกประชาชน ที่พรรคเพื่อไทยเชิญพรรคฝ่ายตรงข้ามมาพูดคุย ดื่มช็อกมิ้นต์กันอย่างหน้าชื่นตาบาน แต่ทุกพรรคฝ่ายรัฐบาลเดิมก็ตอบเป็นเสียงเดียวกันยังกับเล่นซิมโฟนี่ ว่า ถ้ามีพรรคที่มีนโยบายแก้ ม.112 จะไม่ร่วมรัฐบาลด้วย
ความกระอักกระอ่วนก็ตกไปที่พรรคเพื่อไทย ในฐานะพรรคแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล ถ้ายังยืนเกาะ 8 พรรคร่วมรัฐบาลตาม MOU ก็มั่นใจว่า ไม่ผ่านการลงมติรับรองการเป็นนายกฯ ของนายเศรษฐา แน่นอน ถ้าจะร่วมกับฝ่ายรัฐบาลเดิมก็ส่งผลต่อภาพลักษณ์ของพรรคเพื่อไทยเอง ที่จะถูกปฏิเสธและต่อต้านจากกลุ่มคนเสื้อแดง พร้อมทั้งรอยร้าวที่มีภายในพรรคก็จะปริเป็นรอยแตกร้าวที่กว้างขึ้น
ถึงแม้นกระแสข่าวเกี่ยวกับการกลับบ้านของทักษิณจะกลบข่าวการจัดตั้งรัฐบาล แต่นักวิเคราะห์หรือขยายข่าว อย่างนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ และนายจัตุพร พรหมพันธ์ ก็ชี้ประเด็นเชื่อมโยงการเคลื่อนไหวของ ดร.ทักษิณ ชินวัตร มาโดยตลอด ซึ่งก็พอที่จะจับทิศทางของการจัดตั้งรัฐบาลว่าจะมีสูตรในการจัดตั้งรัฐบาลอย่างไร
ต่อประเด็นของการกลับบ้านของ ดร.ทักษิณ นั้น นายจัตุพรจะออกมาบอกว่า ดร.ทักษิณ โดนหลอก และจะไม่ได้กลับบ้าน ถ้ากลับมาก็ไม่มีโอกาสได้ออกจากคุก ถึงแม้นว่าจะมีคนบอกว่าสามารถขออภัยโทษได้ โดยการนอนคุกแค่คืนเดียว ตรรกะเหล่านี้ นายจัตุพรมองว่าเป็นการหลอกที่ทักษิณกำลังกระหายอยากกลับบ้าน ซึ่งเป็นจุดอ่อนที่ฝ่ายตรงข้ามเอากิเลสที่มีอยู่ในตัว ดร.ทักษิน เป็นตัวล่อ เพื่อลวงให้เข้ากับดัก ในการจัดการให้สิ้น ในขณะที่นายชูวิทย์ก็ออกมาพูดเช่นกัน โดยที่มีบุตรสาวของ ดร.ทักสินออกมาโต้ว่า เพ้อเจ้อ
แล้วต่อมานายชูวิทย์ก็ออกมาเปิดเผยสูตรของรัฐบาล 8 พรรคใหม่ ที่มีเสียง 315 เสียง ประกอบด้วย เพื่อไทย ภูมิใจไทย พลังประชารัฐ รวมไทยสร้างชาติ ประชาธิปัตย์ ประชาชาติ และพรรคเล็กพรรคน้อย เป็นรัฐบาล “มีลุง ไม่มีเรา” นั่นก็จะหมายถึงว่า พรรคเพื่อไทยพร้อมที่จะฉีก MOU จาก 8 พรรคร่วม เพียงแต่พยายามจะใช้ปากของพรรคก้าวไกล เป็นผู้พูดเองว่าพร้อมจะเป็นฝ่ายค้าน แต่นายวิโรจน์ สส. ก้าวไกลก็ได้ออกมาดักคอไว้ก่อนว่า กูไม่ไป สู้กับคนหน้าด้าน ก็ต้องหน้าด้านกว่า แล้วพรรคเพื่อไทยก็ใช้เกมใช้ปากพรรคเล็ก และ สส. ในพรรคออกมาพูดประมาณว่า ประเทศไทยตังรัฐบาลไม่ได้ เพราะติดปัญหาที่พรรคก้าวไกล โดยที่กลุ่มแกนนำพรรคทั้งเพื่อไทย และฝ่ายรัฐบาลเดิม ก็พยายามเร่งเกมว่า ประเทศไทยควรต้องรีบมีรัฐบาล เพื่อแก้ปัญหาปากท้องประชาชน โดยที่ก้าวไกลก็โต้ตอบด้วยการ รอ 10 เดือน เดี๋ยวก็หมดวาระ
สถานการณ์บีบบังคับให้พรรคเพื่อไทยต้องทำตามเกมนี้ โดยจับขั้วกับพรรครัฐบาลเดิม แล้วโหวตครั้งเดียวให้จบนั้น เนื่องจากพันธสัญญาปากเปล่าที่เกิดขึ้นระหว่างนายทุนที่อยู่เบื้องหลังของพรรครัฐบาลเดิม ที่พรรครัฐบาลเดิมได้เสนอให้ฝ่ายทุนเสนอโครงการแบบ PPP ไว้ให้รัฐบาลอนุมัติ นี่เป็นการเปิดเผยข้อมูลจากคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ทั้งที่ประเทศไม่มีงบประมาณในการดำเนินการ แต่ก็ยอมที่จะให้เอกชนได้รับโครงการจากภาครัฐ เพื่อไปแพ็คในโปรเจ็คโลน ในการกู้เงินสถาบันการเงิน เพื่อมาดำเนินการโครงการของภาครัฐ เมื่อโครงการเสร็จก็ให้บริหารผ่อนชำระต่อไป นั่นเป็นการผลักภาระให้กับประชาชนในอนาคต ดังนั้นการเคลื่อนไหวเพื่อที่จะใช้กติกาที่บิดเบี้ยว จึงเห็นกลุ่มทุนที่อยู่เบื้อหลังของพรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาลเดิม เคลื่อนไหวผลักดันให้ใช้กติกาในการบริหารประเทศที่ไม่เป็นไปตามหลักการ เพียงเพื่อที่จะได้ผลประโยชน์จากการเอาอนาคตของคนไทยทั้งประเทศ มาให้กับทุนที่อยู่เบื้องหลังของพรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาลเดิมนี้ นี่เป็นการใช้ประเทศในการลงทุนที่เสี่ยงต่อความเป็นอยู่ของประชาชนในอนาคตอย่างมาก
สถานการณ์ของพรรคเพื่อไทย ถึงแม้นว่าจะสามารถจัดตั้งรัฐบาลช็อกมินต์ได้ ตามการผลักดันของทุนที่อยู่เบื้องหลังพรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาลเดิม ความไม่เห็นด้วยกับการได้มาซึ่งความเป็นรัฐบาลที่ขัดต่อหลักการจะก่อให้กลุ่มนักวิชาการในมหาวิทยาลับทั่วประเทศ มีการเคลื่อนไหว ที่นักวิชาการมองถึงความไม่สมเหตุสมผลต่อความเป็นวิชาการที่อุตส่าห์สั่งสอนอบรมลูกศิษย์ตามมาตรฐานหลักวิชาการกันมา และมัจะสอดคล้องกับความเห็นของกลุ่มนักศึกษาที่ได้ศึกษาจากมาตรฐานของหลักสูตร ที่ สกอ. รับรองหลักสูตรให้ถ่ายทอดต่อลูกศิษย์ ในขณะที่หลักการบริหารประเทศไม่ขัดต่อหลักการที่เรียนมา ความไม่ศักดิ์สิทธิ์ของหลักสูตร ความน่าเชื่อถือของสถาบันการศึกษาก็จะเสื่อมมนต์ขลังลง ซึ่งเป็นเป็นแรงผลักดันให้เกิดการต่อต้านรัฐบาลมินค์ช็อคจากสถานศึกษาในทั่วประเทศ ซึ่งจะเป็นแกนหลักในการสร้างกระแสต่อต้านรัฐบาลที่กำลังจะเกิดขึ้นใหม่นี้ให้ขยายวงกว้างออกไป ส่งผลให้พรรคเพื่อไทยมีภาพลักษณ์ที่เสียต่อมหาชน และจะเป็นพรรคที่ต่ำ 10 ตามที่หัวหน้าพรรคได้พยากรณ์ไว้ล่วงหน้า
อนาคตของพรรคเพื่อไทย จะแค่เจ็บ หรือจะจม ก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของแม่บ้านพรรคเพื่อไทย เพราะเธอเองก็อ่อนด้วยประสบการณ์ทางการเมือง ที่กว้านเอาบ้านใหญ่เข้ามาเป็นงูเห่าในบ้านของตนเอง จนสังคมตัดสินให้จากสภาวะแลนด์สไลด์มาเป็นพรรคอันดับรอง ถ้าเลือกจะเจ็บ คือ รอ 10 เดือน โดยเป็นพรรครองในการจัดตั้งรัฐบาลตามหลักการของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย เพื่อไทยจะเผชิญกับการพ่นพิษของงูเห่าในท้องของตนให้แสบร้อน ถ้าหนักมากก็เสริมพิษการครอบงำพรรคของคนแดนไกล ถึงขนาดยุบพรรค แต่มวลชนของเพื่อไทยยังคงอยู่ และจะยังเหนียวแน่เหมือนเดิม สามารถตั้งพรรคใหม่รอได้ ชีวิตของเพื่อไทยก็จะเกิดใหม่ที่สง่างามกว่าเดิม หรือจะเลือกเส้นทางจมอย่างที่ได้กล่าวมาข้างต้น เราก็ตามดูนะครับว่าวุฒิภาวะทางการตัดสินใจทางการเมืองของเพื่อไทยจะเป็นอย่างไร??..