Think In Truth

มอง'อดีต ปัจจุบัน อนาคต'พรรคเพื่อไทย โดย : หมาเห่าการเมือง



พรรคเพื่อไทยก่อตั้งขึ้นโดยทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2550 โดยมีบทบาททางการเมืองแทนที่พรรคพลังประชาชนซึ่งถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2551 หลังพบว่ากรรมการบริหารพรรคมีความผิดฐานทุจริตการเลือกตั้ง โดยที่พรรคพลังประชาชนก็ได้เข้ามีบทบาททางการเมืองแทนที่พรรคเดิมของทักษิณ คือพรรคไทยรักไทย ซึ่งถูกยุบโดยศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2550 เนื่องจากละเมิดกฎหมายเลือกตั้ง

พรรคเพื่อไทยมีนโยบายหลักคือประชานิยม เน้นการกระจายรายได้แก่ประชาชนทุกระดับ ส่งเสริมเศรษฐกิจฐานราก พัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน และให้ความสำคัญกับการพัฒนาการศึกษาและสาธารณสุข พรรคเพื่อไทยเคยเป็นพรรคการเมืองที่ได้รับความนิยมสูงสุดในประเทศไทย โดยมีฐานเสียงหลักอยู่ที่ภาคอีสานและภาคเหนือ พรรคเพื่อไทยเคยชนะการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป 4 ครั้ง คือ พ.ศ. 2544, พ.ศ. 2548, พ.ศ. 2554 และ พ.ศ. 2562

ปัจจุบัน พรรคเพื่อไทยมีหัวหน้าพรรคคือ นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว และเลขาธิการพรรคคือ ประเสริฐ จันทรรวงทอง พรรคเพื่อไทยเป็นพรรคการเมืองที่มีบทบาทสำคัญในการเมืองไทยมาอย่างยาวนาน พรรคเคยเป็นรัฐบาลมาแล้วหลายสมัย และเคยมีนายกรัฐมนตรีจากพรรคถึง 3 คน ได้แก่ ทักษิณ ชินวัตร สมัคร สุนทรเวช และยิ่งลักษณ์ ชินวัตร พรรคเพื่อไทยเป็นพรรคการเมืองที่มีฐานเสียงหลักอยู่ที่ภาคอีสานและภาคเหนือ พรรคมีนโยบายหลักคือประชานิยม เน้นการกระจายรายได้แก่ประชาชนทุกระดับ ส่งเสริมเศรษฐกิจฐานราก พัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน และให้ความสำคัญกับการพัฒนาการศึกษาและสาธารณสุข พรรคเพื่อไทยเคยเป็นพรรคการเมืองที่ได้รับความนิยมสูงสุดในประเทศไทย แต่ในช่วงหลังพรรคก็เริ่มได้รับความนิยมลดลง โดยสาเหตุหลักมาจากความขัดแย้งภายในพรรคและปัญหาเศรษฐกิจที่ตกต่ำ

หลังการเลือกตั้งวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 เพื่อเพื่อไทยเสนอแนวทางทางการเมืองต่อสธารณะแลนด์สไลด์ เพื่อการเปลี่ยนแปลงแปลงประเทศไทย และหยุดอำนาจเผด็จการ 3 ป. แต่เมื่อผลการเลือกตั้งออกมากลายเป็นพรรคที่ได้เสียงเป็นอันดับรองจากพรรคก้าวไกล คือ พรรคก้าวไกลได้ 151 เสียง แต่พรรคเพื่อไทยได้ 141 เสียง จึงมีการร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลรวม 8 พรรค ซึ่งมีพรรคก้าวไกล เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล โดยการเสนอชื่อนายกคนแรกเพื่อโหวตรับรองการดำรงตำแหน่งนายกคนแรกคือ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แต่ไม่ได้รับรองให้นายพิธาเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 และพรรคก้าวไกลจึงยอมให้พรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล แล้วพรรคเพื่อไทยก็ฉีก MOU ไปจับมือกับพรรคภูมิใจไทยร่วมกันจัดตั้งรัฐบาล

ปรากฏการณ์ทางการเมืองที่มวลชนของพรรคเพื่อไทยเองออกมาต่อต้านพรรคเพื่อไทยและปฏิเสธที่จะสนับสนุนพรรคเพื่อไทยอีกต่อไป การต่อต้านพรรคเพื่อไทยในการจับมือกับพรรคภูมิใจไทยในการจัดตั้งรัฐบาล ขยายวงกว้างออกไป ซึ่งพรรคเพื่อไทยจะสูญเสียฐานเสียงส่วนหนึ่งไปจากกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่สนับสนุนพรรคก้าวไกล เนื่องจากพรรคเพื่อไทยได้ยกเลิก MOU กับพรรคก้าวไกล แล้วไปร่วมกับพรรคภูมิใจไทย พรรคภูมิใจไทยเป็นพรรคที่มีนโยบายที่แตกต่างจากพรรคก้าวไกลในหลายด้าน เช่น พรรคภูมิใจไทยสนับสนุนนโยบายประชานิยม ในขณะที่พรรคก้าวไกลสนับสนุนนโยบายที่เน้นความเท่าเทียมกันทางสังคม พรรคภูมิใจไทยยังสนับสนุนนโยบายที่เอื้อประโยชน์ให้กับนายทุน ในขณะที่พรรคก้าวไกลสนับสนุนนโยบายที่เอื้อประโยชน์ให้กับประชาชนทั่วไป

กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่สนับสนุนพรรคก้าวไกล ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนที่ให้ความสำคัญกับนโยบายที่เน้นความเท่าเทียมกันทางสังคม นโยบายที่เอื้อประโยชน์ให้กับประชาชนทั่วไป และนโยบายที่โปร่งใสตรวจสอบได้ การยกเลิก MOU กับพรรคก้าวไกล และไปร่วมกับพรรคภูมิใจไทยของพรรคเพื่อไทย จึงเป็นการกระทำที่ขัดต่อความต้องการของกลุ่มคนรุ่นใหม่ ทำให้กลุ่มคนรุ่นใหม่ไม่เชื่อมั่นในพรรคเพื่อไทย และอาจย้ายไปสนับสนุนพรรคก้าวไกลแทน

นอกจากนี้ พรรคเพื่อไทยยังถูกมองว่าเป็นพรรคการเมืองที่ล้าสมัย ไม่ทันสมัย และไม่สามารถตอบสนองความต้องการของกลุ่มคนรุ่นใหม่ได้ พรรคเพื่อไทยจึงต้องหาแนวทางแก้ไขสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เพื่อรักษาฐานเสียงและโอกาสในการชนะการเลือกตั้งในครั้งต่อไป

พรรคเพื่อไทยจะสูญเสียความน่าเชื่อถือไปจากกลุ่มคนที่ต้องการความเปลี่ยนแปลง เนื่องจากพรรคเพื่อไทยได้ยกเลิก MOU กับพรรคก้าวไกล แล้วไปร่วมกับพรรคภูมิใจไทย พรรคภูมิใจไทยเป็นพรรคที่มีนโยบายที่แตกต่างจากพรรคก้าวไกลในหลายด้าน เช่น พรรคภูมิใจไทยสนับสนุนนโยบายประชานิยม ในขณะที่พรรคก้าวไกลสนับสนุนนโยบายที่เน้นความเท่าเทียมกันทางสังคม พรรคภูมิใจไทยยังสนับสนุนนโยบายที่เอื้อประโยชน์ให้กับนายทุน ในขณะที่พรรคก้าวไกลสนับสนุนนโยบายที่เอื้อประโยชน์ให้กับประชาชนทั่วไป

กลุ่มคนที่ต้องการความเปลี่ยนแปลง ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนที่ให้ความสำคัญกับนโยบายที่เน้นความเท่าเทียมกันทางสังคม นโยบายที่เอื้อประโยชน์ให้กับประชาชนทั่วไป และนโยบายที่โปร่งใสตรวจสอบได้ การยกเลิก MOU กับพรรคก้าวไกล และไปร่วมกับพรรคภูมิใจไทยของพรรคเพื่อไทย จึงเป็นการกระทำที่ขัดต่อความต้องการของกลุ่มคนที่ต้องการความเปลี่ยนแปลง ทำให้กลุ่มคนที่ต้องการความเปลี่ยนแปลงไม่เชื่อมั่นในพรรคเพื่อไทย และอาจย้ายไปสนับสนุนพรรคก้าวไกลแทน

พรรคเพื่อไทยจะเผชิญกับปัญหาความขัดแย้งภายในพรรคมากขึ้น เนื่องจากพรรคเพื่อไทยได้ยกเลิก MOU กับพรรคก้าวไกล แล้วไปร่วมกับพรรคภูมิใจไทย การตัดสินใจดังกล่าวสร้างความไม่พอใจให้กับสมาชิกพรรคเพื่อไทยบางกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่สนับสนุนพรรคก้าวไกล

นอกจากนี้ การตัดสินใจดังกล่าวยังสร้างความไม่พอใจให้กับสมาชิกพรรคเพื่อไทยบางกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยกับแนวทางของพรรคเพื่อไทยในการไปร่วมกับพรรคภูมิใจไทย ความขัดแย้งภายในพรรคจึงมีแนวโน้มที่จะสูงขึ้นในอนาคต

การตัดสินใจดังกล่าวทำให้พรรคเพื่อไทยสูญเสียฐานเสียงส่วนหนึ่งไปจากกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่สนับสนุนพรรคก้าวไกล และทำให้พรรคเพื่อไทยสูญเสียความน่าเชื่อถือไปจากกลุ่มคนที่ต้องการความเปลี่ยนแปลง พรรคเพื่อไทยยังเผชิญกับปัญหาความขัดแย้งภายในพรรคมากขึ้น ความขัดแย้งภายในพรรคดังกล่าวอาจส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของพรรคเพื่อไทยในการนำเสนอนโยบายและหาเสียงในการเลือกตั้งในครั้งต่อไป

โดยสรุปว่า พรรคเพื่อไทยเสี่ยงในการติดสินใจดำเนินการทางการเมืองที่ฉีก MOU ไปร่วมจัดตั้งรัฐบาลข้ามขั้ว นอกจากเสี่ยงกับการถูกปล้นแล้วฆ่าทิ้งอย่างที่นายวิโรจน์ ลักคณานุสรณ์ พรรคก้าวไกลได้พูดไว้แล้ว ยังจะเสี่ยงกับความล่มสลายของพรรคเพื่อไทยในสมัยการเลือกตั้งครั้งต่อไป เนื่องจากการปฏิเสธการสนับสนุนจากมวลชน และยังต้องเผชิญการแข่งขันของคู่ต่อสู้อย่างพรรคก้าวไกลที่จะชิงพื้นที่และรุกเข้าไปในพื้นที่ของพรรคเพื่อไทย ซึ่งโอกาสที่พรรคเพื่อไทยจะเสียพื้นที่ของตนเองจำนวนมาก

อีกทั้งต้องเผชิญกับการแตกของพรรคเนื่องจากความขัดแย้งภายใน โดยเฉพาะกลุ่มนายจาตุรนต์ ฉายแสง และกลุ่มงูเห่าสายบ้านใหญ่ที่ย้ายเข้ามาสังกัดพรรคเพื่อไทยเพื่อการเฉพาะกิจ ซึ่งอาจจะสามารถประเมินได้ว่า พรรคเพื่อไทยจะอยู่รอด หรือจะล่มสลายเหมือนพรรคความหวังใหม่ ก็ขึ้นอยู่ที่การตัดสินใจของพรรคเพื่อไทยในครั้งนี้ แคมเปญการสลายขั้วของพรรคเพื่อไทย มันจะเป็นการสลายอุดมการของตนเอง และสลายความเชื่อมั่นที่มีต่อพรรคเพื่อไทยหรือไม่??..ต่อให้ขอขมาพรรคก้าวไกลเพียงเพื่อขอเสียงสนับสนุนให้ได้เป็นรัฐบาล ก็จะยิ่งลดความน่าเชื่อถือของตนเองแบบหมดซึ่งศักดิ์ศรี ในขณะที่พรรคก้าวไกลอยู่เฉยๆ แล้วบอกว่าจะดำเนินการตามหลักประาธิปไตย เท่านี้ พรรคเพื่อไทยก็หมดซึ่งความเป็นพรรคที่เคยยิ่งใหญ่ ที่ไร้ซึ่งกำลังต่อรอง เท่านี้ก็แทบจะประเมินได้แล้วว่าเพื่อไทยจะมีสภาพอย่างไร โดยไม่ต้องรอดูถึงการเลือกตั้งสมัยหน้า