Think In Truth

ระบอบเก่าดิ้นอีกเฮือก...'ก้าวไกล'นิ่งแล้วดี โดย : หมาเห่าการเมือง



เหลือเวลาอีกสองวัน ศาลรัฐธรรมนูญจะได้เวลาในการพิจารณาว่า การใช้ข้อบังคับ 41 ของข้อบังคับรัฐสภา มาบังคับใช้ในการเสนอชื่อผุ้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้หรือไม่ หรือขัดต่อกฏหมายรัฐธรรมนูญหรือไม่ ซึ่งจะเป็นผลในการเสนอชื่อนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล แคนดิเดทนายกรัฐมนตรีของพรรคคนเดียวของพรรคก้าวไกลว่า สามารถเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีซ้ำได้หรือไม่ ผลการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญก็จะส่งผลต่อการดำเนินการของรัฐสภา และตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไป

จากผลที่พรรคเพื่อไทยหลังจากที่ได้สิทธิ์ในการจัดตั้งรัฐบาล ก็ได้รวบรวมพรรคในฝ่ายรัฐบาลเดิม โดยผลักดันให้พรรคก้าวไกลเป็นฝ่ายค้าน ด้วยเหตุผลที่ว่า ไม่มีพรรคใดที่จะร่วมตั้งรัฐบาลด้วยถ้ามีพรรคก้าวไกลร่วมด้วย ล่าสุดได้มีการแถลงการณ์ว่า ได้รวบรวมเสียง สส. ในสภาได้แล้ว 315 เสียง พร้อมที่จะจัดตั้งรัฐบาลแล้ว โดยที่ได้เดินทางไปขอเสียงสนับสนุนจากพรรคก้าวไกล โดยอ้างว่ามาขอขมาเพื่อขอเสียงสนับสนุน เพื่อไม่ต้องพึ่งพา สว. แต่สถานการณ์แห่งการต่อรองผลประโยชน์ มันไม่ได้จบเพียงแค่การจับมือตั้งรัฐบาล

นายสุทธิชัย หยุ่นได้พูดถึงความไม่ลงตัวของพรรคร่วมรัฐบาลที่พรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล ในรายการสุทธฺชัยไลฟ์ บอกว่า พรรคเพื่อไทยได้ประสานไปยังพรรครวมไทยสร้างชาติ แล้วพรรครวมไทยสร้างชาติก็มาร่วมแถลงข่าวด้วย แต่นายพีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติยังพูดแบ่งรับแบ่งสู้ว่า “ต้องไปหารือในพรรคเสียก่อน และจะต้องเอาข้อเสนอว่าพรรคได้อะไร” ในขณะเดียวกันก็มีเสียงเรียกร้องว่าต้องแบ่งกระทรวงกันก่อน โหวตลงมติ ในขณะที่พรรคเพื่อไทยก็ยังยืนอยู่ว่าต้องโหวตก่อน และต้องเปลี่ยนกระทรวงกำกับดูและใหม่ จากที่เคยดูแลจากเดิม ในขณะที่พรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาลก็อ้างว่าต้องได้กระทรวงเดิมเพื่อให้ทำงานได้อย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ ในขณะที่พรรคเพื่อไทยยังไม่มีการเปิดเผยเกี่ยวกับการประสานกับพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งอาจจะเป็นไม่เด็ดในการต่อรองก็ได้

ในความไม่ลงตัวของการต่อรองผลประโยน์ในการร่วมรัฐบาล แคนดิเดทนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทยก็ถูกแฉพฤติกรรมจากนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์  ได้ออกมาแฉพฤติกรรมการทำธุรกิจของนายเศรษฐา ทวีสิน จนทำให้สังคมเองก็เริ่มคล้อยตาม รวมทั้งการที่เพื่อไทยพยายามแสดงละครน้ำเน่าทางการเมือง นำเสนอต่อสาธารณะ จึงมีกระแสถึงการเปลี่ยนตัวแคนดิเดทนายกรัฐมนตรีที่จะเสนอต่อรัฐสภาไม่ว่าจะเป็นการเปิดื่อนางสาวแพทองธาร ชินวัตร หรือนายเกษม นิติสิริ ออกมา แม้แต่นายสุทธิชัย หยุ่น ยังนำเสนอว่า พรรคเพื่อไทยอาจจะเปลี่ยนตัวเสนอชื่อนายเกษม นิติสิริ เพื่อทดลองการโหวตของสมาชิกรัฐสภา

พร้อมกันนี้ นายไพศาล  พืมงคลก็ออกมาโพสต์ในเฟชบุคส่วนตัวว่า หลอกแดกแหกตาต้มตุ๋น คลุกฝุ่นประจันบาน #การเมืองฉาก2 เป็นการเมืองที่มีลักษณะหลอกแดกแหกตาต้มตุ๋น ชัดเจนขึ้นทุกวัน หลอกประชาชน หลอกพวกเดียวกันเอง และหลอกพวกอื่นด้วย จนไม่รู้ว่าสิ่งใดจริงเท็จไปแล้ว ล่าสุดขณะนี้ กำลังเข้ากล "สลับแขกเป็นเจ้าบ้าน" " ที่แพ้แก้เป็นชนะ ไม่ถือพระประเวณี ขี้ฉ้อก็ได้ดี ใครด่าตีมีอาญา"  จะมีการโหวตเลือกนายกในวันที่ 22 สิงหาคม 66 เว้นแต่ประธานรัฐสภา จะไม่เอาด้วยกับข้อเสนอของรองประธาน และคณะวิป3 ฝ่าย ซึ่งไม่รู้ว่ามาจากไหน! สว.จะโหวตให้หรือไม่กี่คน ยังสับสนอลเวง ลวงๆหลอกๆๆ  สัดส่วนส.ส 9 คนต่อรัฐมนตรี 1 คน ทำให้พรรคจิ๋ว ที่มีสส.น้อย ตกกระป๋องเป็นแถว เว้นแต่จะรวมตัวกันให้ได้ 9 คน หรือไปรวมกับพรรคอื่น ที่มีเศษเสี้ยวไม่ถึง 9 คน เพื่อให้ได้รัฐมนตรี 1 คน เรื่องนี้กำลังจุดเทียนเวียนวนกันวุ่นไปแล้ว พรรคที่มี สส.ระดับ 10 -40คน ต้องการสัดส่วน 6 ต่อ 1 หรือ 7 ต่อ 1 ตำแหน่งรัฐมนตรี ถ้าอัตราส่วนนี้ ก็จะไม่มีตำแหน่งรัฐมนตรีเพียงพอ เมื่อชามข้าวไม่พอก็ต้องกัดกันเป็นธรรมดา" ความวุ่นวายที่แย่งิงชุลมุนวุ่นวายนี้ สุดท้ายก็โยนไม้ไปให้กับลุงเดินต่อ

นายอทึกกิจ แสวงสุขหรือ “ใบตองแห้ง” ได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับพรรคเพื่อไทยว่า เพื่อไทยไม่ใช่มองว่าชั่วร้ายเลวทราม ผมเดาใจเดาแนวทางจากท่าทีการแสดงออกแบบพี่อ้วนว่าเขาไม่เชื่อว่าพลังประชาชนที่ต้องการเปลี่ยนแปลง จะเอาชนะได้ เหมือนที่พูด ฝันจะไปถึงดวงดาว ไปได้แค่ยอดมะพร้าว เขาไม่เชื่อการต่อสู้แบบพรรคก้าวไกล แบบคนรุ่นใหม่ เขาเชื่อว่าชนะเลือกตั้งแล้วต้องประนีประนอม จับมือป้อม เข้าไปแบ่งอำนาจ ต่อรองให้ได้ประชาธิปไตยกลับมาระดับที่พอบริหารประเทศได้ (โดย Win-Win กับพาทักษิณกลับบ้าน ) เพื่อไทยจะไม่ใช่เข้าไปเป็นรัฐบาลแล้วปราบประชาชน เพื่อไทยจะเป็นรัฐบาล "66/23" เพื่อแยกสลาย ลดทอน ทำให้พลังที่ต้องการเปลี่ยนแปลงอ่อนล้าโทรมลง ถ้าทำสำเร็จ คนรุ่นเพนกวิน รุ้ง "ให้มันจบที่รุ่นเรา" ก็จะเป็นเหมือนคนรุ่นภูมิธรรม รุ่นผม  แต่ไม่เชื่อว่าทำสำเร็จ และต้องไม่ยอมให้ทำสำเร็จ"

ในขณะที่พรรคก้าวไกล ได้ประกาศตนเองว่าพร้อมที่จะเป็นฝ่ายค้าน ซึ่งจะเป็นฝ่ายค้านที่มีศักดิ์ศรีมาที่สุด โดยที่จะเป็นฝ่ายค้านที่ไร้การเกี๊ยะเซี่ย เกาหลัง ซึ่งก็สอดคล้องกับนายปิยะบุตร แสงกนกกุล โพสต์ในเฟเพจของตนเองว่า “สถานการณ์ชัดเจนขนาดนี้ ทำไมพรรคก้าวไกลยังไม่ประกาศจุดยืนเป็น “ฝ่ายค้าน” อย่างทระนงองอาจ " และรายการ “มีเรื่อง” อยากไลฟ์ ของจอมขัญ หลาวเพร ที่เชิญนายจิรัฎฐ์ ทองสุวรรณ  และนายกรุณพล เทียนสุวรรณ สส. พรรคก้าวไกล มาร่วมรายการ ทั้งสองคนก็ยืนยันว่า เปิดโอกาสให้พรรคเพื่อไทยได้ทำงานของเขาเต็มที่ แต่ สส.พรรคก้าวไกลมีมติว่าจะไม่ยกมือโหวตให้กับพรรคเพื่อไทย เพราะมันขัดต่อหลักการประชาธิปไตย

แต่ทางด้าน สว. วันชัย สอนสิริ ประกาศไทยจะโหวตให้กับพรรคเพื่อไทยที่รวบรวมเสียงได้มากกว่ากึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนราษฎร ผ่านแฟนเพจ สรยุทธ์ สุทัศนจินดา กรรมกรข่าว ว่า ‘ส.ว.วันชัย’ เผยฤกษ์โหวตนายกฯ รอบใหม่ ‘18 สิงหา’ ดีสุด เหตุเป็นวันพลังอำนาจ สยบราหู มีอำนาจและขจัดความชั่วร้ายต่างๆ ให้หายสิ้นไปได้ ถือเป็นวันก้าวข้ามความขัดแย้ง ส่วน ‘22 สิงหา’ เป็นวันมหาเสน่ห์ สร้างความรักและความปรองดองสมานฉันท์ ย้ำ ‘ส.ว.’ พร้อมหนุนพรรคที่รวมเสียงข้างมากได้ แม้ไม่มีพรรค 2 ลุง ส.ว.ก็โหวตให้” ก็ยังคงรักษามาตรฐานทางความคิด เหมือนกับการโหวตให้กับนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์

ในขณะที่กำลังมีความชุลมุน ทางการเมือง กระทรวงมหาไทยก็ออกระเบียบใหม่ในการพิจารณาเงินบำนาญให้กับคนรา โดยพิจารณาเฉพาะบุคคลที่ไม่เป็นเจ้าของทรัพย์สินใดๆ  ซึ่งทำให้สาธารณะที่ได้เห็นระเบียบการพิจารณาบคคลที่จะได้รับเงินบำนาญคนรา กลายเป็นรัฐบาลรัฐบาลรักษาการโขมยเงินคนแก่ ซึ่งทำให้เกิดปัญหาในความเชื่อมั่นที่พรรคเพื่อไทยจะจับมือกับฝ่ายรัฐบาลเดิมอยู่หรือไม่ ประเด็นแห่งความขัดแย้ง ความระแวงที่จะเกิดถึงความเชื่อมั่นรัฐบาล ที่จะส่งผลต่อพรรคเพื่อไทยมีความกังวลก็จะเป็นส่วนหนึ่งที่จะทำให้เพื่อไทยต้องทบทวน หรือไม่ก็จะอดทนเพื่อให้ได้เป็นรัฐบาล โดยการเป็นนั่งร้านให้ฝ่ายรัฐบาลเดิมกระทำกับประชาชน ซึ่งเป็นสิ่งที่ลำบากใจกับเพื่อไทยมาก

ซึ่งมันสอดคล้องกับ ดร.วีรพัฒน์ ปิยะวงศ์ ที่มาร่วมรายการ เดลิทอลคนิวส์  ได้ให้ความเห็นว่า พรรคเพื่อไทยจะเป็นรัฐบาลบนพื้นฐานของความเสื่อมและความสุญเสียมวลชนให้ต่อพรรคก้าวไกล โดยที่พรรคก้าวไกลไม่มีความจำเป็นต้องทำอะไรมาก พรรคก้าวไกลก็จะเติบโต โดยที่มวลนพรรคเพื่อไทยเดินออกจากไป เพื่อสนับสนุนพรรคก้าวไกล

สถานการการเมืองที่เห็น คือการดิ้นรนเฮือกสุดท้ายเพื่อให้อยู่รอดของฝ่ายอนุรักษ์นิยม ที่พยายามสร้างภาพ เล่นละคร ให้คนในสังคมกลัวว่าจะมีการนำทหารอออกมาจากกองทัพเพื่อยึดอำนาจ กลัวที่จะทำผิดกฏหมายมาตรา ม.112 ที่ฝ่ายอนุรักษ์นิยมพยายามโหนด้วยการปกป้องกฏหมายมาตรานี้ยังกับไข่ในหิน และอาศัยกฏหมายมาตรานี้ในการใส่ร้ายเพื่อหยุดคนเห็นต่าง และส่งเสริมกลุ่มคนที่อวย โดยไม่สนใจว่าสิ่งที่ฝ่ายอวย จะอวยด้วยเนื้อหาสาระที่กระทบต่อชีวิตของคนรากหญ้าและคนเห็นต่าง ดังนั้นการได้มาซึ่งอำนาจการปกครอง คือการชิงความชอบธรรมด้วยเงื่อนไขของการต่อรองของพรรคฝ่ายตรงข้ามตรง สิ่งที่เห็นคือการิงพรรคเพื่อไทยไปอยู่ฝ่ายตน เพื่อทิ้งฝ่ายเดียวกันของพรรคเพื่อไทย เพื่อให้เพื่อไทยถืออำนาจปกครองติดมือมาด้วย เสร็จแล้วก็ชิงอำนาจนั้นด้วยอุบายต่างๆ นานา ซึ่งกระบวนการนี้ไม่สามารถที่จะตบตาชาวบ้านหรือประชาชนได้ ปรากฏการณ์ที่เห็นคือพรรคเพื่อไทยได้รับผลกรทบทันทีคือ มวลชนต่อต้านและเดินออกจากพรรคเพื่อไทย และโอกาสที่รัฐบาลที่ผสมพันธุ์กับฝ่ายอนุรักษ์นิยมก็ไม่น่าจะมีความมั่นคง รวมทั้งการต่อรองผลประโยชน์เพื่อชิงอำนาจจากมือเพื่อไทยจึงสูงมาก ในขณะเดียวกับ ฝ่ายอนุรักษ์นิยมเองก็เกรงว่าเพื่อไทยซึ่งผุกติดกับพรรคภูมิใจไทย จะพากันเกี่ยวก้อยไปร่วมจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคฝ่ายประชาธิปไตย ซึ่งมีเสียงรวมกันโดยไม่ต้องอาศัยเสียงของ สว. เลย ดังนั้นการดิ้นเฮือกสุดท้ายของฝ่ายอนุรักษ์นิยมจึงมีความเข้มเข้นสูง ผลจะออกมาอย่างไร ก็ติดตามอย่างใกล้ชิด