Think In Truth
'เพื่อไทยขาลอย'สิ้นพลังไร้อำนาจต่อรอง โดย : หมาเห่าการเมือง
“พรรคเปรียบเสมือนปลา ประชาเปรียบเสมือนน้ำ” เป็นวาทกรรมของผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์จีน อย่างท่านเหมา เจ๋อตง ที่แสดงออกถึงความสัมพันธ์ระหว่างพรรคการเมืองกับประชาชน ที่สามารถถ่ายทอดหลักการตามแนวคิดและทฤษฎีมาร์คซีส จากรุ่นสู่รุนของผู้นำในกรรมการบริหารพรรคคอมมิวนิสต์จีนมาจนถึงปัจจุบัน วาทะกรรมนี้นายจัตุพร พรหมพันธุ์ ได้นำมาเอ่ยเปรียบเทียบกับพรรคการเมืองอย่างพรรคเพื่อไทย เพื่อชี้ให้เห็นถึงอนาคต ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับพรรคเพื่อไทย และพรรคที่พยายามทำตัวแบบไม่เห็นหัวประชาชน
ซึ่งจะสอดคล้องกับแนวคิดของการปกครองแบบประชาธิปไตย ที่ “เป็นการปกครองของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน” ซึ่งแตกต่างกันที่ ความเป็นอิสระในการเข้าสู่อำนาจ โดยระบอบคอมมิวนิสต์เป็นการปกครองแบบพรรคเดียว ผู้ที่จะก้าวสู่คณะกรรมการบริหารพรรคได้ก็ต้องไต่เต้าจากระดับล่างขึ้นไป จนถึงระดับบสูงสุด ที่คณะกรรมการบริหารพรรคเป็นผู้เลือกเป็นผู้บริหารประเทศ แต่ประาธิปไตยนั้น นักการเมืองสามารถจะเข้า จะออก หรือเลือกแล้วตัดสินใจเข้ามาเล่นใหม่ได้ อย่างเป็นอิสระ สิ่งที่เหมือนกันคือ ใช้ประชาชนเป็นฐานทั้งความมั่นคงของการเมืองและการพัฒนา
พรรคเพื่อไทยดำเนินกิจการการเมืองมาจะยึดโยงกับประชาชนมาโดยตลอด โดยมีตัวแทนของพรรคในแต่ละพื้นที่ เป็นผู้ประสานติดต่อและสร้างความสัมพันธ์กับประชาชน แต่สิ่งหนึ่งที่พรรคเพื่อไทยไม่ทำเลย คือการสร้างการเมืองในระดับท้องถิ่น ที่มีการสรรหาตัวแทนด้วยท้องถิ่นเอง และวางแผนกิจกรรมทางการเมืองเอง พรรคเพื่อไทยจะให้ความสำคัญกับการเมืองในระดับชาติเป็นหลัก แต่ถึงอย่างไรพรรคเพื่อไทยก็ถือว่าเป็นพรรคการเมืองที่ยึดโยงกับประชาชนในพื้นที่มากที่สุด พรรคเพื่อไทยจึงสามารถครองใจคนได้มาอย่างยาวนาน จนถึงก่อนการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา พรรคเพื่อไทยได้ดำเนินกิจกรรมทางการเมืองมาในลักษณะ Mass Party มาโดยตลอดจนสามารถสรรหาผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งหรือการทำ Primary Voteได้ครบก่อนที่จะมีการกำหนดเขตพื้นที่การเลือกตั้งจาก กกต. เสียด้วยซ้ำ แต่พอถึงกำหนดวันรับสมัครวันเลือกตั้ง คนที่ผ่านการคัดเลือกแบบ Primary Vote กลับไม่ได้เป็นตัวแทนในการลงสมัครรับเลือกตั้ง คนที่ได้ลงสมัครรับการเลือกตั้ง กลายเป็นคนที่มีฐานะทางการเงินในเขตพื้นที่นั้นๆ แทน เพราะพรรคเพื่อไทยเชื่อว่า เงินสามารถซื้อเสียงจากประชาชนได้ การเลือกคนที่มีฐานะทางการเงินลงสมัครรับเลือกตั้งในนามพรรคเพื่อไทย โดยโอกาศที่พรรคเพื่อไทยจะได้ สส. มากแบบแลนด์สไลด์อย่างที่วางแคมเปญไว้ เป็นไปได้สูง นั่นคือข้อผิดพลาดแรกที่พรรคเพื่อไทยแสดงออกถึงความไม่สนใจความรู้สึกประชาชน โดยเฉพาะคนที่ร่วมต่อสู้ ร่วมเป็นร่วมตายกันมาด้วยกัน
หลังการเลือกตั้ง ประชาชนเห็นผลการเลือกตั้งออกมาก็กลายเป็นความหวังแห่งการเปลี่ยนแปลง ที่จะขจัดการเมืองระบบอุปถัมภ์ ที่ประชาชนมรส่วนร่วมทั้งการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม การเมือง และการเชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์ ยิ่งเห็นพรคเพื่อไทยร่วมจับมือกับพรรคก้าวไกลที่มีความชัดเจนในการพัฒนาประเทศที่ประชาชนได้รับประโยชน์จากการเมืองที่แท้จริง ได้เข้าถึงการแสดงออกถึงความจงรักภักดีและการเชิดชูสถาบัน โดยไม่มีกลุ่มการเมืองที่เห็นต่างผูกขาดและกีดกันการเข้าถึงสถาบัน แต่ท่าทีของนักการเมืองพรรคเพื่อไทยกลับทำให้ความรู้สึกของประชาชนขาดความรู้สึกยินดี และถูกสะสมเพื่อความไม่พอใจเพิ่มขึ้นตามลำดับ
จุดแตกหักที่มีความชัดเจนในการตัดสินใจสรุปว่าพรรคเพื่อไทยทอดทิ้งประชาชน เมื่อพรรคเพื่อไทยรับไม้ต่อจากพรรคก้าวไกล แล้วเข้าไปประสานกับพรรคการเมืองนอก MOU พร้อมทั้งคำตอบว่าไม่มีพรรคไดที่จะรว่มกับพรรคก้าวไกล และแถลงข่าวร่วมมือจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคภูมิใจไทย ความรู้สึกที่ขาดกันกับมวลนของตนเองก็เกิดขึ้น พร้อมทั้งกลุ่มคนเสื้อแดงบางกลุ่มถึงขั้นเผาสัญญลักษณ์ของกลุ่มคนเสื้อแดง ไม่ว่าเสื้อแดง บัตรประจำตัวสมาชิก นปช. ยิ่งพรรคเพื่อไทยร่วมกับพรรคาติไทยพัฒนา และพลังประารัฐในการจัดตั้งรัฐบาล สถานการณ์การต่อต้านพรรคเพื่อไทยของมวลชนของตนเองก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น การตอกลิ่มให้พรรคเพื่อไทยห่างออกไปจากมวลนตนเองเมื่อเค สามถุยมาออกสื่อในการสนับสนุนพรรคเพื่อไทยในลักษณะเลียแข้งเลียขา ก็ยิ่งทำให้มวลชนพรรคเพื่อไทยเดือดดานและโกรธแค้น ที่เป็นเหมือนมีลิ่มมาตอกให้พรรคเพื่อไทยกับมวลนดูดห่างกันออกไป
เวลานี้พรรคเพื่อไทยถูกโดดเดี่ยวด้วยการถูกจับแยกออกจากกลุ่มพลังประชาธิปไตย จะเดินหน้า การต่อรองของพรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาลก็ต่รองจนเพื่อไทยแทบไม่เหลืออะไร จะหันกลับก็อายตนเองและมวลนที่ตนเองทำร้ายจิตใจมวลนไว้ สถานการณ์ของการกลืนไม่เข้า คายไม่ออก ของพรรคเพื่อก็ยิ่งทำให้พรรคร่วมรัฐบาลกำหนดโดยที่พรรคเพื่อไทยไม่มีอะไรจะต่อรองได้เลย
นายไพศาล พืชมงคล ได้โพสต์ในเฟบุ๊คของตนเองถึงความไม่เป็นท่าของฝ่ายการเมือง ที่มัวแต่เล่นเกม เล่นละครลิงหลอกประชาชน ว่า หลอกแดก แหกตา ต้มตุ๋น แขกวุ่นเต็มบ้าน 1.ทิ้งพวก 8 พรรค กวักมือเรียก 188 เสียงเข้าบ้าน มาถึงวันนี้ 144 เสียงของเจ้าบ้าน ไม่ใช่แค่หมู่บ้านกระสุนตก แต่จะเหมือนไฟกำลังไหม้ เพราะ 188+สว.เสียงดังกว่า 2.สามเดือนหลังจากเลือกตั้งยังจัดรัฐบาลไม่ได้ บ้านเมืองเสียหายยับเยิน ผู้ประกอบการ และประชาชนเดือดร้อนทุกข์เข็ญ เจ้าหน้าที่ของรัฐก็ระส่ำระสาย ทั้งรัฐบาลรักษาการไม่มีอำนาจย้ายข้าราชการ และกำลังถูกตั้งเป็นปัญหาขึ้นมาแล้ว เกิดเป็นแรงกดดันทั่วด้านให้ต้องรีบตั้งรัฐบาลโดยเร็วที่สุด นี่ก็คือวิบากกรรมของรัฐธรรมนูญ 60 อีกอย่างหนึ่ง วันนี้จำต้องกล่าวว่าผู้ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องต้องเลิกเล่นลิเกกันได้แล้ว ต้อง "รับผิดชอบทำหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตเพื่อประโยชน์ของชาติ และประชาชน" ให้ได้ มิฉะนั้นก็จะกลายเป็นผู้ตระบัดสัตย์ ที่ชีวิตนี้มีแต่เรื่องฉิบหายอัปมงคล 3.พวกท่านเล่นลิเกกันอย่างไร? รัฐธรรมนูญกำหนดให้ รัฐสภาให้ความเห็นชอบผู้ที่จะดำรงตำแหน่งนายก ซึ่งจะต้องดำเนินการ 5 ขั้นตอนคือ (1)ประธานเปิดให้มีการเสนอชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี โดยแต่ละคนต้องมีผู้รับรอง 50 คน เมื่อเสนอรายชื่อเสร็จแล้วประธานจะปิดการเสนอชื่อ และประกาศว่ามีผู้เสนอชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีขอความเห็นชอบกี่คน มีใครบ้าง (2)ประธานสภาให้ตั้งคณะกรรมการนับคะแนน ซึ่งสมาชิกรัฐสภาจะเป็นผู้เสนอรายชื่อคณะกรรมการนับคะแนน (3)ประธานสภาจะให้สมาชิกลงคะแนนอย่างเปิดเผยด้วยวิธีการขานชื่อ ซึ่งสมาชิกทุกคนจะต้องขานชื่อว่าให้ความเห็นชอบใคร จนครบจำนวนสมาชิกที่เข้าประชุม (4)คณะกรรมการนับคะแนนจะประกาศผลการนับคะแนนว่าแคนดิเดตนายกฯ แต่ละคนได้รับความเห็นชอบด้วยคะแนนเสียงเท่าใด ถ้าผู้ใดได้รับความเห็นชอบเกินครึ่งหนึ่ง ผู้นั้นย่อมได้รับความเห็นชอบเป็นนายกรัฐมนตรี (5) ถ้าไม่มีผู้ใดได้รับคะแนนเสียงเกินครึ่ง ประธานจะหารือว่าจะให้ลงคะแนนครั้งที่ 2 หรือไม่ หรือว่าจะเลื่อนไป และดำเนินการไปตามนั้น ถ้าได้ดำเนินการตามขั้นตอนดังกล่าว การให้ความเห็นชอบนายกรัฐมนตรีก็จะแล้วเสร็จในการประชุมไม่เกิน 2 ครั้ง หรือไม่เกิน 10 วัน!!! เป็นเรื่องแปลกมากที่จู่ๆ ก็มีใครก็ไม่รู้มาชี้นำให้เสนอชื่อและลงคะแนนเสียงทีละ 1 คน ซึ่งเป็นการผิดกฎหมายและข้อบังคับ ที่อ้างว่าเป็นข้อหารือของวิป 3 ฝ่ายนั้น จะต้องบอกประชาชนก่อนว่า สภาผู้แทนฯ ได้ตั้งวิป แล้วหรือไม่ เมื่อใด? ถ้ายังไม่ตั้ง ที่อ้างว่าวิป 3 ฝ่ายนั้น ย่อมไม่ใช่วิปตัวจริง ซึ่งจะต้องตั้งโดยสภา
ความหน้ามืดตามัวที่พรรคเพื่อไทยพยายามที่จะเดินเข้าไปหาฝ่ายรัฐบาลเดิม ที่ไม่เคยฟังเสียงประชาชน เพียงเพื่อจะจัดตั้งรัฐบาลให้ได้ นี่เป็นความสำเร็จของฝ่ายอนุรักษ์นิยมที่แยกปลาออกจากน้ำได้สำเร็จ เมื่อปลายที่ขาดน้ำ ก็รอวันตายของปลา ที่เหล่ามดแมลงจะได้รุมแทะฉีกเนื้อกิน โดยที่ปลาไม่มีเรี่ยวแรงที่จะดิ้นหนี และรอวันที่จะสิ้นใจนอนตายให้สิงสาลาสัตว์เหล่านั้นแทะกิน
สัญญาณแห่งความสิ้นแรงของพรรคเพื่อไทยเริ่มแสดงออกเมื่อ ฝ่ายพรรครัฐบาลเดิม เริ่มเปิดเกมเล่นแง่ในการต่อรอง ด้วยฉากของการประกาศว่าพลเอกประวิทตรไม่เคยบอกว่าจะไม่รับตำแหน่ง ของพรรคพลังประชารัฐ การแสดงความรูกสึกอยากได้กระทรวงพลังงานมาอยู่ในการกำกับดูแลของพรรคภูมิใจไทย และรวมไทยสร้างชาติ การจองไม่ยอมย้ายกระทรวงจากกระทรวงทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมของพรรคาติไทยพัฒนา รวมทั้งการเสนอของอีกกระทรวงในการดูแล และการต่อรองในอีกหลายประเด็น จนทำให้ พลตำรวจเอกเสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ไม่มีเก้าอี้ในคณะรัฐมนตรีเลย ถึงแม้จะเป็น สส. พรรคเล็กเสียงเดียวที่ออกแรงถีบส่งพรรคก้าวไกล
ปรากฏการณ์เหล่านี้มันบ่งชี้ชัดว่า ผลของการแยกน้ำออกจากปลา แล้วปลาก็จะไม่มีพลังต่อรองเลย มันเห็นได้ชัด และถ้าปลายังคงไม่สามารถดิ้นรนกลับลงสู่แหล่งน้ำได้ นั่นคือปลาจะไม่เหลืออะไรเลย แม้แต่กระดูกก็จะถูกกัดแทะแยกชิ้นออกไปเก็บไว้ในรังของมด ไม่กระดูไม่สามารถเลี้ยงราที่เป็นอาหารมดแล้ว หรือหมดประโยชน์แล้ว มดก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับกระดูกของปลาเลย อนาคตของพรรคการเมืองที่ไม่เห็นความสำคัญของประชาชนและไม่มีมวลชนเป็นฐาน ที่เปรียบเสมือนกับน้ำ ชะตากรรมของพรรคการเมืองนั้นก็จะประสบดั่งปลาที่ขาดน้ำฉันนั้น แล