In News

ปลื้ม!ผลดำเนินการโครงการบัตรคนจน พบผู้ใช้และวงเงินค่าซื้อสินค้าสูงสุดถึง99%



กรุงเทพฯ-ปลื้ม ! ผลดำเนินการโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ พบผู้ใช้และวงเงินค่าซื้อสินค้าอุปโภค-บริโภคสูงสุดมีอัตราสูงสุดกว่าร้อยละ 99 พบพอใจในสวัสดิการทุกรายการในระดับมาก และต้องการให้มีการดำเนินการต่อเนื่อง

วันนี้ (23 สิงหาคม 2566)  นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงมติคณะรัฐมนตรี รับทราบรายงานการประเมินผลการดำเนินงานและความคุ้มค่าในการจัดประชารัฐสวัสดิการ ประจำปี 2565 และรายงานการสำรวจความพึงพอใจในการจัดประชารัฐสวัสดิการจากผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและผู้ได้รับบริการทางสังคม ประจำปี 2565 สรุปผลได้ ดังนี้ 

1.  ผลการดำเนินงาน 
(1) ค่าซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค   - วงเงิน 200 บาท/คน/เดือน   อัตราใช้สิทธิร้อยละ 98.21  และอัตรามูลค่าการใช้ร้อยละ 99.92  -วงเงิน 300 บาท/คน/เดือน   อัตราใช้สิทธิร้อยละ 98.68  และอัตรามูลค่าการใช้สิทธิร้อยละ 99.91
(2) ส่วนลดค่าซื้อก๊าซหุงต้ม   -วงเงิน 45 บาท/คน/3 เดือน     อัตราการใช้สิทธิร้อยละ 24.48   และอัตรามูลค่าการใช้สิทธิร้อยละ 99.75
(3)ค่ารถโดยสารสาธารณะ    -รถไฟ วงเงิน 500  บาท/คน/เดือน   อัตราใช้สิทธิร้อยละ 0.37   และอัตรามูลค่าการใช้สิทธิเร้อยละ 52.26    -บขส. วงเงิน 500 บาท/คน/เดือน  อัตราการใช้สิทธิร้อยละ 0.10  และอัตรามูลค่าการใช้สิทธิร้อยละ 85.83    - ขนส่งในเขต กทม. และปริมณฑล วงเงิน 500 บาท/คน/เดือน   อัตราการใช้สิทธิร้อยละ 10.05  และอัตรามูลค่าการใช้สิทธิร้อยละ 33.02
(4) ค่าสาธารณูปโภค   - ค่าไฟฟ้า วงเงิน315บาท/ครัวเรือน/เดือน   อัตราการใช้สิทธิร้อยละ 7.98  -ค่าน้ำประปาวงเงิน 100 บาท/ครัวเรือน/เดือน  อัตราการใช้สิทธิร้อยละ 2.24                                                                                                   

ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐใช้สิทธิค่าซื้อสินค้าอุปโภคสูงสุด ซึ่งส่วนใหญ่ใช้วงเงินเกือบเต็มจำนวนในคราวเดียว รองลงมาคือ ส่วนลดค่าซื้อก๊าซหุงต้ม ขณะที่สวัสดิการค่าโดยสารรถสาธารณะ มีจำนวนผู้ใช้น้อย เนื่องจากข้อจำกัดประเภทรถโดยสารที่ใช้กับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐมีจำนวนน้อย  รวมทั้งยังมีการกำหนดวงเงินแยกรายประเภทรถโดยสาร                                     

รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรืยัง กล่าวถึง  รายงานความคุ้มค่าของการจัดประชารัฐสวัสดิการว่า  แบ่งเป็นผลประโยชน์ทางตรงที่ช่วยลดภาระค่าครองชีพและภาระค่าใช้จ่ายที่จำเป็นให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐจำนวน 13.26 ล้านคน โดยผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่อยู่ในเขต กทม. ได้รับผลประโยชน์อยู่ที่ 2,330-2,430 บาท/คน/เดือน ขณะที่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐในพื้นที่จังหวัดอื่น ๆ ได้รับผลประโยชน์อยู่ที่ 1,830-1,930 บาท/คน/เดือน   รวมมูลค่าในการจัดประชารัฐสวัสดิการ จำนวน 46,930.81  ล้านบาท    ส่วนผลประโยชน์ทางอ้อม มีการใช้จ่ายเงินกองทุนประชารัฐฯ ที่เป็นวงเงินเพื่อซื้อสินค้าบริโภค อุปโภคที่จำเป็น 43,303.15 ล้านบาท ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการบริโภคของภาคเอกชน  75,347.48 ล้านบาท และความคุ้มค่าของการจัดประชารัฐสวัสดิการ โดยผลประโยชน์ท่ีได้รับมากกว่าต้นทุนอยู่ 26,303.24 ล้านบาท  ทั้งจากการช่วยลดภาระค่าครองชีพและบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายที่จำเป็นให้แก่ผู้มีรายได้น้อย รวมถึงก่อให้เกิดผลประโยชน์แก่ระบบเศรษฐกิจของประเทศ อีกทั้งยังเป็นการกระจายรายได้เข้าสู่ชุมชนและเข้าสู่ เศรษฐกิจฐานรากโดยตรง  

นางสาวรัชดา ฯ ยังกล่าวถึงผลการสำรวจความพึงพอใจในการจัดประชารัฐสวัสดิการจากผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และผู้ได้รับบริการทางสังคม ประจำปี 2565 จากกลุ่มตัวอย่างผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐท่ัวประเทศ จานวน 11,105 ราย ระหว่างวันที่ 1 ก.ย.-30  ต.ค. 2565  พบว่า กลุ่มผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐท่ีเป็นผู้ว่างงาน ผู้ไม่มีรายได้ และผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป เป็นกลุ่มที่มีความพึงพอใจในสวัสดิการมากที่สุด และเห็นว่าสามารถแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายได้   ส่วนรูปแบบสวัสดิการที่มีความพึงพอใจมากที่สุดคือ ค่าซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคและกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์  แต่อยากให้เพิ่มวงเงินสวัสดิการ โดยเฉพาะวงเงินการซื้อสินค้าเพื่อการอุปโภคบริโภค ค่าน้ำประปา และค่าไฟฟ้า รวมถึงต้องการได้รับสวัสดิการเป็นเงินสดเพื่อนำมาใช้จ่ายได้    ทั้งนี้ ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐมีความพึงพอใจในสวัสดิการทุกรายการในระดับมากและมีความพึงพอใจกับโครงการลงทะเบียนฯ และต้องการให้มีการดำเนินการต่อเนื่องต่อไป