In News

นายกฯเปิด'นโยบายไหนทำได้'งานเสวนา 'Future Perfectเปิดมุมคิดพลิกอนาคต'



นายกฯ ร่วมเสวนาในหัวข้อ “Future Perfect เปิดมุมคิด พลิกอนาคต” ในงานเสวนา Thairath Forum 2023 เดินหน้านโยบายไหนทำได้ ทำก่อน พร้อมขอทำงานรับข้อมูลให้ครบทุกส่วนก่อน  เพื่อให้สั่งการได้เหมาะสม

วันนี้ (18 กันยายน 2566) เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุมชั้น 9 อาคาร 9 สำนักงานหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เข้าร่วมงาน Thairath Forum 2023 ในหัวข้อ “Future Perfect เปิดมุมคิด พลิกอนาคต” โดย นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปสาระสำคัญ ดังนี้

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า นโยบายของรัฐบาล นโยบายใดทำได้จะทำก่อน ไม่อยากให้รอครบทุกมิติ เช่น เรื่องค่าไฟ ค่าน้ำมันดีเซล ซึ่งยังไม่ครบ เบนซินอาจต้องมีการพิจารณามากกว่า ค่าไฟก็สามารถลดลงไปได้แล้ว แม้จะยังไม่ตรงตามที่เรียกร้องมา แต่ก็พยายามทำอะไรที่ทำได้ก็ทำไปก่อน โดยเชื่อมั่นในศักยภาพภาครัฐ และได้มีการพูดคุยความเป็นไปได้ในทุกเรื่อง ซึ่งข้าราชการ รัฐวิสาหกิจต่างตระหนักดีถึงปัญหาของพี่น้องประชาชน และความเร่งด่วนของเรื่องที่ต้องจัดการ เช่น เรื่องฟรีวีซ่า การต้อนรับนักท่องเที่ยว ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากทุกภาคส่วน ร่วมด้วยช่วยกันเป็นอย่างดี นายกฯ ให้ความสำคัญกับการท่องเที่ยว รวมถึงได้มีการพูดคุยกับสายการบินเพิ่มขนาดเครื่องบิน เพื่อแก้ปัญหาเรื่องเที่ยวบิน ซึ่งจากการเดินทางลงพื้นที่ที่จังหวัดเชียงใหม่ มีกระแสตอบรับที่ดี ผู้ประกอบการบอกมีสัญญาณที่ดี มีการจองมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ในขณะที่ประเด็นเรื่องความมั่นคง และทุนสีเทา นายกฯ มองว่าเป็นเรื่องของความมั่นคง ซึ่งจะต้องมีการบริหารจัดการให้ดี

ส่วนนโยบายเศรษฐกิจ ปัจจุบันเศรษฐกิจอยู่ในภาวะที่ไม่ค่อยดี สิ่งที่รัฐบาลดำเนินการได้ก็จะทำก่อน เช่น พักหนี้เกษตรกร โดยในการประชุม ครม. ก็ได้มีการมอบหมายในส่วนที่เกี่ยวข้องไปแล้ว และครั้งต่อไปก็จะออกนโยบายระยะสั้นมาช่วยเหลือในหลาย ๆ ภาคส่วนเกษตรกร ครู ไปก่อน ด้านดิจิทัลวอลเล็ต ลดรายจ่ายเพิ่มรายได้ให้ประชาชนในระยะสั้น ระยะยาวคือ เพิ่มรายได้เกษตรกร ซึ่งเป็นภาคส่วนสำคัญ ต้องมีการให้ความรู้แก่เกษตร เพื่อแก้ปัญหาและเพิ่มผลผลิต

โดยในโอกาสที่จะเดินทางไปเข้าร่วมการประชุม UNGA78 ที่สหรัฐฯ จะมีการพูดคุยเรื่องจับคู่ธุรกิจ (Business matching) นำการลงทุนมายังประเทศไทยมากขึ้น เพื่อสานต่อการทำงาน ดึงดูดการลงทุน โดยนายกฯ มองว่า ประเทศไทยมีจุดแข็งทั้งในเรื่องทำเลที่ตั้ง ความพร้อมด้านโครงสร้างสร้างพื้นฐานของประเทศ ทั้งสนามบิน ท่าเรือ ความพร้อมของกฎหมาย และรัฐบาลพยายามปรับปรุงให้เอื้อต่อการลงทุนมากขึ้น ภาคเอกชนไทยแข็งแกร่ง โดยจะเน้นย้ำให้ภาคธุรกิจเห็นถึงความพร้อมของไทยในหลาย ๆ ด้าน ทั้งในเรื่องโรงพยาบาลที่มีความพร้อม และมีศักยภาพ โรงเรียนนานาชาติ รวมถึงคนไทยอัธยาศัยดี สถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติสวยงาม

ทั้งนี้ ตัวชี้วัดของนายกรัฐมนตรีคือ ระยะเวลา และตัวเลข GDP ส่วนในเรื่องค่าแรงขั้นต่ำ คือ 1 ในมาตรการระยะสั้นที่รัฐบาลให้ความสำคัญ นอกเหนือจากการลดค่าใช้จ่าย ก็คือเพิ่มรายได้ ซึ่งนายกรัฐมนตรีเชื่อว่า ก่อนปีใหม่ ประมาณพฤศจิกายน 2566 คาดว่าจะสามารถประกาศได้ ดูตามความเหมาะสม เพราะหลายภาคส่วนก็มากกว่าขั้นต่ำอยู่แล้ว โดยรัฐบาลได้มีการพูดคุยกับ SMEs ภาคอุตสาหกรรมบ้างแล้ว ซึ่งถ้าเห็น Roadmap ของรัฐบาลในการเพิ่มรายได้ การเปิดตลาดใหม่ ๆ และมีมาตรการต่อเนื่องเป็นระยะ ก็จะมีแรงจูงใจ รัฐบาลก็สามารถประกาศได้อย่างมั่นใจ เพราะภาคเอกชนก็ส่วนสำคัญ ต้องมองให้ครบทุกมิติ รัฐบาลเข้าใจ และขอรับข้อมูลให้ครบทุกส่วนก่อน เพื่อได้สั่งการอย่างเหมาะสม และมีแผนที่ชัดเจนออกมา ซึ่งนายกรัฐมนตรีคาดว่า น่าจะได้แผนช่วงปีใหม่ โดยในส่วนเรื่องราคาค่าโดยสารรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย นายกฯ คาดว่า 3 เดือนอาจจะยาก แต่เริ่มดำเนินการในทันที โดยได้พูดคุยกับนักกฎหมาย จากปัญหาสะสมมานาน ทั้งเรื่องค้างค่าใช้จ่ายกับภาคเอกชน การประมูลสายสีส้ม การเชื่อมต่อระบบ การใช้ตั๋วใบเดียว หลาย ๆ สายที่ได้ไปดูมามีรูปแบบการขึ้นรถต่างกัน พร้อมยืนยันว่าได้เริ่มทำงานแล้ว

ส่วนสถานการณ์เอลนีโญ นายกฯ มองถึงพืชที่จะนำมาปลูกทดแทนพืชที่กินน้ำเยอะ เช่น ข้าว โดยต้องพูดคุย หากเป็นไปไม่ได้ก็ต้องมีการบริหารจัดการให้ดี โดยหวังว่าปริมาณน้ำจะดีขึ้น การบริหารจัดการน้ำในส่วนของการบริโภค การใช้ในระบบนิเวศ และในภาคอุตสาหกรรมไม่ขาดแคลนแน่นอน อย่างไรก็ดีอาจเป็นปัญหาใหญ่ที่อาจเกิดขึ้นใน 3-4 ปีข้างหน้า ที่คาดว่าจะมีโรงงานอุตสาหกรรมเกิดขึ้นเยอะ ในส่วนภาคเกษตรเป็นภาคส่วนใหญ่ที่รัฐบาลต้องหาแนวทางแก้ปัญหาให้ได้ และท้องถิ่น ถ้ามีงบต้องรีบดำเนินการทันที ทำฝาย ขุดลอกคลอง โดยได้พูดคุยกับผู้บัญชาการทหารสูงสุด และผู้บัญชาการทหารบก ซึ่งมีอุปกรณ์ และทหารพัฒนา ทั้ง 2 ท่านก็พร้อมช่วยดูแลป้องกันภัยแล้งที่เกิดขึ้น

นายกรัฐมนตรีย้ำว่า รัฐบาลตระหนักดีว่า ไทยเป็นประเทศเล็ก ที่ตั้งอยู่ในภูมิภาคและภูมิศาสตร์ที่เป็นที่หมายปองของหลายๆ ชาติ มีสายสัมพันธ์ที่ดี เช่น อเมริกามีความสัมพันธ์กันยาวนานมา 190 ปี ส่วนกับประเทศจีน มีคนไทยเชื้อสายจีนจำนวนมาก มีความร่วมมือทางการค้าจำนวนมาก ซึ่งเป็นภาคส่วนที่สำคัญในอนาคตที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจ ไทยต้องรักษาความเป็นกลาง เป็นจุดยืนที่รัฐบาลให้ความสำคัญ จะต้องมีจุดยืนที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้นในเวทีโลก คำนึงถึงผลกระทบที่เกี่ยวข้องกับสิทธิมนุษยชน นำเข้ามาเป็นองค์ประกอบตัดสินใจควบคู่ไปกับทางด้านเศรษฐศาสตร์ ซึ่งเป็นเรื่องละเอียดอ่อน วันนี้จะเดินทางไปสหประชาชาติจะไปพบผู้นำให้มากที่สุด เชื้อเชิญมาประเทศไทย ทั้งเรื่องการลงทุน ความมั่นคง ทำอะไรก็เป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่ต้องบริหารจัดการกันไป เรื่องการค้าระหว่างประเทศก็เป็นเรื่องสำคัญ ต้องนำมาพิจารณา และบริหารจัดการอย่างละเอียดอ่อน

ในประเด็นแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ นายกฯ ได้พูดคุยกับอธิบดีสรรพากรคนใหม่ ทั้งในเรื่องภาษีที่ดิน ภาษีโรงเรือน ภาษีมรดก ภาษีลดความเหลื่อมล้ำทั้งหลาย ซึ่งภาษีมรดก เก็บได้ประมาณ 200 ล้านต่อปี โดยหลักการของภาษีคือ มีรายได้มาก็ต้องจ่ายภาษี ไม่ว่าจะเป็นรายได้จากอะไร ในอัตราที่เหมาะสม ส่วนกรณีมีการลงทุนในต่างประเทศ ถ้านำเงินกลับเข้ามาต้องเสียภาษี เริ่มต้น 1 มกราคม ซึ่งต่อยอดมาจากรัฐบาลที่แล้วที่ดูแลเรื่องความเหลื่อมล้ำ รัฐบาลจะมีออกมาเรื่อย ๆ โดยยึดหลักว่าต้องตอบโจทย์และยุติธรรมกับทุกฝ่าย

ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีย้ำว่า ทุกคนสามารถอยู่กันได้โดยไม่มีการด้อยค่าซึ่งกันและกัน อยากให้สังคมดีขึ้น ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญที่สุด