In News
BlackRockตอบรับร่วมธุรกิจBCGในไทย คาดใน5ปีทำเม็ดเงินกว่า1ล้านล้านบาท
โฆษกรัฐบาลเผย บริษัท BlackRock ตอบรับการร่วมมือธุรกิจ BCG ในไทย คาดภายใน 5 ปีข้างหน้า สร้างเม็ดเงินให้ประเทศกว่า 1 ล้านล้านบาทขณะที่การพบ สภาธุรกิจสหรัฐอเมริกา – อาเซียน (USABC) ที่จะเกิดขึ้น จะสามารถเจาะตลาดอาเซียนได้กว่า 700 ล้านคน พร้อมผลักดัน Direct Investment มหาศาล
เช้านี้ (วันที่ 19 กันยายน 2566) เวลา 11.30 น. ตามเวลาท้องถิ่น ณ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรีพบกับ Mr. Larry Fink CEO กลุ่มบริษัท BlackRock ซึ่งเป็นบริษัทผู้นำในการบริหารการเงิน และการลงทุนของโลก เพื่อศึกษาแนวทางในการลงทุนในประเทศไทย ทั้งในภาคการลงทุนขนาดเล็ก ขนาดกลาง และขนาดใหญ่ โดยเฉพาะการสนับสนุนธุรกิจที่เกี่ยวกับ Clean Energy เพื่อขยายฐานการลงทุน และการผลิตในประเทศไทย นอกจากนี้ ยังให้ความสนใจที่จะลงทุนใน Sustainability Linked Bond ที่จะออกโดยรัฐบาลไทย ซึ่งบริษัทฯ มีแนวโน้มในการลุงทุนในบริษัทในประเทศไทยเร็ว ๆ นี้
ทั้งนี้ BlackRock เป็นบริษัทจัดการลงทุนที่ใหญ่เป็นอันดับ 1 ของโลก มีสินทรัพย์ภายใต้การจัดการ ณ สิ้นไตรมาส 2 ปี 2023 9.43 ล้านล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐโดยมีหลาย ๆ กองทุนใหญ่ ๆ ของไทย เช่น ประกันสังคม และ กบข. มีการลงทุนผ่านการซื้อหน่วย Exchange Traded Fund (ETF) ของ BlackRock อย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ BlackRock เป็นบริษัทที่ให้ความสำคัญในการลงทุนด้านความยั่งยืน (Sustainability) โดยมีแผนที่จะมีการลงทุนในหลายๆ ประเทศทั่วโลก และได้แสดงความสนใจที่จะลงทุนใน Sustainability Linked Bond ที่จะออกโดยรัฐบาลไทยในปีหน้า
ในโอกาสนี้ ทาง BlackRock กล่าวว่า SEA รวมถึงประเทศไทยเป็น ภูมิภาคที่มีศักยภาพสูงและจะมีการลงทุนในภูมิภาคนี้อย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ผลของการพบปะจะนำไปสู่การลงทุนของ BlackRock ใน Sustainability Linked Bond และ การลงทุน ด้านการเงินในประเทศไทยที่เป็นรูปธรรมและยั่งยืน ต่อไป
นายชัย ยังได้รายงานอีกว่า การปฏิบัติภารกิจของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในช่วงระหว่างการเข้าร่วมการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ 78 (UNGA78) ณ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ว่า การพบหารือกับนาย Larry Fink CEO กลุ่มบริษัท BlackRock มีความสำคัญต่อการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศอย่างยิ่ง ซึ่ง BlackRock มีศักยภาพสูงมากที่จะลงทุนในไทย โดยปัจจุบันแนวโน้มของธุรกิจทั่วโลกเน้นแนวทางด้านความยั่งยืน เช่น การใช้พลังงานสะอาด การใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า การแก้ไขปัญหาสภาวะภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง ทิศทางในรูปแบบนี้ เป็นทิศทางของการลงทุนและเศรษฐกิจทั่วโลก รวมไปถึงประเด็นเรื่องโมเดลเศรษฐกิจสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน (BCG Economy) ประเทศไทยเริ่มดำเนินการมาหลายปีแล้ว โดยปัจจุบันมูลค่าธุรกิจ BCG ในไทย สูงถึง 3.4 ล้านล้านบาท และด้วยศักยภาพของไทย ซึ่งคาดว่าไม่เกิน 5 ปีข้างหน้า จะมีมูลค่าถึง 4.4 ล้านล้านบาท การหันเหทิศทางทางการเศรษฐกิจให้สอดคล้องกับแนวโน้มของโลก เป็นยุทธศาสตร์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
โดย BlackRock เป็นบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการเงินและการลงทุน เป็นกองทุนขนาดใหญ่ เบอร์หนึ่งของโลก ซึ่งรายงานล่าสุดในไตรมาสที่ 2 ของปี 2566 กองทุนขยายขึ้น เป็นจำนวน 9.43 ล้านล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นเงินไทย ประมาณ 310 ล้านล้านบาท หรือประมาณ 100 เท่าของงบประมาณรายจ่ายประจำปีของไทย ทั้งนี้ BlackRock มีนโยบายที่ชัดเจน ที่จะส่งเสริมการลงทุนในด้านที่ก่อให้เกิดความยั่งยืน ดังนั้นบริษัทจะส่งเสริม การลงทุนเกี่ยวกับ BCG ซึ่งผลการหารือในครั้งนี้ ออกมาชัดเจนว่า BlackRock ให้ความสนใจที่จะลงทุนในภูมิภาคอาเซียนเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะประเทศไทย และไม่ใช่เพียงสนใจแค่กลุ่มธุรกิจรายใหญ่ แต่สนใจกลุ่มธุรกิจ SME ด้วย
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า การดำเนินธุรกิจที่ส่งเสริมด้าน BCG มีความแตกต่างจากธุรกิจในรูปแบบเดิมมาก คนทำงานจะได้รับการจ้างงานในอัตราเงินเดือนที่สูง เนื่องจากด้านที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืน จะอาศัยแรงงานที่มีทักษะ ส่งผลให้การจ้างงานจะเพิ่มขึ้นเป็นล้านตำแหน่ง และที่สำคัญคือ การใช้ทรัพยากรจะน้อยลงเกินครึ่ง ซึ่ง BlackRock แสดงท่าทีที่ชัดเจนมากว่า ในเร็ว ๆ นี้ จะเข้ามาลงทุนในไทย ถือเป็นข่าวดีของประเทศและพี่น้องชาวไทย ถือเป็นความสำเร็จจากก้าวแรกที่นายกรัฐมนตรีเดินทางเยือนต่างประเทศ และสามารถเจรจากับภาคธุรกิจกองทุนอันดับ 1 ของโลกที่สนับสนุนธุรกิจอย่างยั่งยืนได้
สำหรับภาคธุรกิจในประเทศไทย มีบริษัทที่เน้นในด้านธุรกิจอย่างยั่งยืน หรือ BCG ในปัจจุบันกว่า 100 บริษัท เป็นทิศทาง Mega trend ที่เงินทุนจะไหล่บ่าเข้ามาต่อเนื่อง ซึ่งบริษัทที่ดำเนินธุรกิจรูปแบบนี้อยู่แล้ว จะได้เรื่องการเพิ่มทุน สามารถขยายงานได้ สร้างงาน สร้างเศรษฐกิจของประเทศ โดย BlackRock ตอบรับและเชื่อมั่นว่า เงินทุนที่จะส่งเสริมในด้านธุรกิจอย่างยั่งยืนจะคุ้มค่า ยกตัวอย่างเช่น การผลิตกระแสไฟฟ้าด้วยพลังงานลมผ่านการใช้กังหันลมของไทย เป็นพลังงานสะอาด ซึ่งปัจจุบันยังมีไม่มากนัก BlackRock ก็พร้อมที่จะให้ทุนสนับสนุน รวมไปถึง โซลาร์เซลล์ ขยะรีไซเคิล เป็นต้น
ด้านคำแนะนำสำหรับภาคธุรกิจและนักลงทุนของไทย โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ต้องเสริมให้ภาคธุรกิจแข็งแรงขึ้น และเมื่อตลาดขยาย ผู้เล่นและทิศทางต่าง ๆ จะตามมา ทั้งนี้ จะเป็นการลงทุนในลักษณะให้กู้ หรือเป็นแต่ละ Project ซึ่งมีหลายรูปแบบที่จะสนับสนุน หรือสามารถใช้คำว่ามีสถาปัตยกรรมใหม่ทางการเงินได้
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทในไทยกว่า 100 บริษัท ที่กล่าวข้างต้น มีการลงทุนด้านธุรกิจอย่างยั่งยืนกว่า 12,500 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ และภายใน 5 ปีข้างหน้า มีเป้าหมายที่ 45,000 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งจะสามารถเพิ่มการลงทุนในไทยได้กว่า 37,000 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นมูลค่าเกินกว่า 1 ล้านล้านบาท ถือเป็นเม็ดเงินมหาศาล
ส่วนประเด็นการเข้าพบกับสภาธุรกิจสหรัฐอเมริกา – อาเซียน (USABC) ที่จะเกิดขึ้นต่อไป จะเป็นโอกาสที่ดีในการขยายการลงทุนในไทย ได้พบปะร่วมกับประธานสภาธุรกิจสหรัฐฯ นักธุรกิจสหรัฐฯ ที่ล้วนเป็นกลุ่มนักลงทุนที่ย่อมแสวงหาโอกาส หาตลาดที่มีในอนาคต ตลาดที่มีกำลังซื้อ ซึ่งประเทศไทยเป็นฐานการลงทุนชั้นดีที่สามารถเจาะตลาดอาเซียนได้กว่า 600 – 700 ล้านคน เชื่อมั่นว่านักลงทุนต้องสนใจที่จะเข้ามาลงทุนในไทยอย่างแน่นอน โดยในช่วงที่ผ่านมา การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (Direct Investment) ยังมีน้อย ซึ่งจากนี้ไป รัฐบาลจะเร่งผลักดันอย่างต่อเนื่อง