In News

3ภารกิจนายกฯเศรษฐาที่สหรัฐฯก่อนกลับ เน้นความความเชื่อมั่นเศรษฐกิจไทย



ภารกิจของนายกฯเศรษฐาเข้าร่วมการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ 78  ล่าสุดให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนไทย ณ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา หลังจากได้กล่าวถ้อยแถลงในการอภิปรายทั่วไป UNGA78 ไทยมุ่งมั่นดำเนินบทบาทนำอย่างสร้างสรรค์ร่วมกับประชาคมโลก เพื่อส่งเสริมสันติภาพโลก สิทธิมนุษยชน สิ่งแวดล้อม และการพัฒนาอย่างยั่งยืน และก่อนหน้านั้นนายกฯ พบหารือตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก ย้ำนโยบายทางเศรษฐกิจของรัฐบาล พร้อมสนับสนุนเอกชนไทยเข้าถึงแหล่งเงินทุนแสวงหาโอกาสและใช้ประโยชน์จากศักยภาพของไทย เพิ่มความน่าสนใจให้ภูมิภาค

วันนี้ (22 กันยายน 2566) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงภาพรวมการเดินทางเข้าร่วมการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ 78 ครั้งแรกของนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลว่ามีภารกิจที่หลากหลาย รวมถึงคณะที่ร่วมเดินทางมาด้วย ทั้งรองนายกรัฐมนตรีและ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ โดยมีโอกาสขึ้นพูดในหลายเวที เช่น ประเด็นโลกร้อน สันติภาพ อากาศบริสุทธิ์ ความมั่นคงทางอาหาร ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง อารยะเกษตร และยังได้พบปะพูดคุยกับผู้นำหลายประเทศ อาทิ นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ที่ได้มีการหารือเรื่องความมั่นคงชายแดน สนับสนุนให้มีการค้าสูงขึ้น
 
สำหรับบทบาทของไทยในเวทีสหประชาชาติ ซึ่งถือเป็นไฮไลท์ในครั้งนี้ โดยกล่าวถึงปัญหาของโลกจากอากาศร้อนที่ปัจจุบันเป็นโลกเดือด ที่หลายประเทศยัง fall behind ในดัชนีชี้วัดต่าง ๆ ซึ่งเราต้องรวมพลังกัน ทั้งนี้ การประชุมก็มีเรื่องที่เห็นต่างกัน และเห็นตรงกัน ความมั่นคงทางอาหาร ที่โลกร้อน โลกเดือดทำให้เกิดปัญหาความมั่นคงทางอาหาร โดยประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม มีความมั่นคงทางอาหารสูง ซึ่งสถานการณ์ภัยแล้ง อากาศที่ผันผวน ทำให้ไทยต้องกลับมาดูในเรื่องนี้ว่าทำอะไรได้บ้าง ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อดึงภาคการเกษตรในการใช้พื้นที่ให้เหมาะสม การเพาะปลูก การใช้หนองน้ำเลี้ยงปลา ซึ่งหลายอย่างสามารถนำมาปรับใช้ได้ 

นอกจากนี้ยังถือเป็น wake up call ที่ให้รู้ว่ามีโรคระบาด ซึ่งทำให้สิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานของมนุษย์ถูกจำกัด หรือได้รับการดูแลเยียวยาที่ไม่ทั่วถึง ประเทศไทยโชคดีที่มีระบบสาธารณสุขที่แข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันมีการเคลื่อนไหวของประชากรมาก การดูแลดียังไงก็ไม่เพียงพอ ถ้าประเทศอื่นไม่ดูแล ซึ่งสหประชาชาติควรเป็นเจ้าภาพ เพื่อให้แน่ใจว่าทุกประเทศมีระบบ Healthcare ที่ดีเหมือนประเทศไทย โดยประเทศไทยจะไม่หยุดยั้ง มีการยกระดับ 30 บาท รักษาทุกโรค เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงระบบสาธารณสุข
 
ขณะที่ด้านสันติภาพที่ยั่งยืน เป็นเรื่องละเอียดอ่อนมาก ไทยมีความเชื่อในความสงบ ความเจริญที่ยั่งยืน โดยไม่ไปก้าวก่ายกิจการภายในของแต่ละประเทศ ปัจจุบันมีสถานการณ์ความไม่สงบ ไทยเป็นประเทศที่ไม่ใหญ่มาก แต่มีความภูมิใจในเอกราชที่เรามี สบายใจที่เราอยู่ในภูมิศาสตร์ที่เป็นที่ยอมรับของทุกประเทศ เป็นหน้าที่ผู้นำและรัฐบาลที่ดำรงไว้ซึ่งเอกราช เชื่อในสันติสุขและความเจริญที่ยั่งยืน รวมทั้งรัฐบาลยังคำนึงถึงการดูแลสิทธิมนุษยชน ซึ่งไม่ใช่แค่การดูแลภายในประเทศอย่างเดียว แต่ไทยเองมีประเทศเพื่อนบ้าน ต้องดูแลผู้อพยพ ผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนด้วย

พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวขอบคุณกระทรวงการต่างประเทศ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ที่ช่วยดูแลนักธุรกิจให้มีโอกาสพบปะร่วมกัน เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ซึ่งตลอด 4 วัน ได้ทำหน้าที่ที่ถือเป็นก้าวแรกในการประกาศให้โลกรู้ว่า ไทยเปิดประเทศแล้ว พร้อมแล้วที่จะลงทุนข้ามชาติ ทั้งสองทาง ทุกคนยินดี และเข้าใจว่าถึงเวลาที่ต้องมีผู้นำและมีการค้าขายระหว่างกัน

นายกฯกล่าวถ้อยแถลงในการอภิปรายทั่วไป UNGA78 ไทยมุ่งมั่นดำเนินบทบาทนำอย่างสร้างสรรค์ร่วมกับประชาคมโลก 

วันนี้ (22 กันยายน 2566) เวลา 12.00 น. (ตามเวลาท้องถิ่นสหรัฐฯ) ณ โถงประชุมสมัชชาสหประชาชาติ (General Assembly Hall) ชั้น 2 สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ นครนิวยอร์ก สหรัฐฯ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถ้อยแถลงในการอภิปรายทั่วไป การประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ 78 ในหัวข้อ Rebuilding trust and reigniting global solidarity: Accelerating Action on the 2030 Agenda and its Sustainable Development Goals towards peace, prosperity, progress and sustainability for all ซึ่งประเทศไทยให้ความสำคัญเรื่อง สันติภาพ มนุษย์ และการพัฒนาที่ยั่งยืนของโลก เพื่ออนาคตร่วมกัน (Investing in peace, people, and planet for our common future) 
สรุปสาระสำคัญ ดังนี้
 
นายกรัฐมนตรีกล่าวยืนยันถึงบทบาทของไทยในเวทีโลก ซึ่งในขณะนี้มีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตย และกำลังเดินหน้าเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับรัฐธรรมนูญและค่านิยมที่เป็นประชาธิปไตย รวมถึงส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชน โดยรัฐบาลมีความมุ่งมั่นที่จะดำเนินบทบาทนำอย่างสร้างสรรค์ร่วมกับพันธมิตรและประชาคมระหว่างประเทศ เพื่อให้เกิดผลประโยชน์และความเจริญรุ่งเรืองแก่ประชาชน ผ่านการส่งเสริมความร่วมมือทางการค้า การลงทุน การเจรจากรอบความร่วมมือทางการค้าระหว่างประเทศ (FTA) และไทยพร้อมรับมือกับความท้าทายในระดับโลก ทั้งการเสริมสร้างสันติภาพอย่างยั่งยืน การส่งเสริมสิทธิมนุษยชน การแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโลก การและพัฒนาอย่างยั่งยืน ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือในระดับพหุภาคีจากประชาคมระหว่างประเทศ

การเสริมสร้างสันติภาพอย่างยั่งยืน นายกรัฐมนตรีกล่าวชื่นชมความมุ่งมั่นของสหประชาชาติในเรื่องวาระใหม่เพื่อสันติภาพ (New Agenda for Peace) ซึ่งรัฐบาลเชื่อว่าจะเป็นแนวทางสำคัญในการฟื้นฟูความร่วมมือระดับพหุภาคี และส่งเสริมบทบาทของสหประชาชาติในการเสริมสร้างสันติภาพให้กับโลก ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรียังขอให้ทุกฝ่ายวางรากฐานที่เข้มแข็งให้กับประชาชนอย่างต่อเนื่อง เพื่อเสริมสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้แก่ประชาชน ผ่านกรอบความร่วมมือพหุภาคีที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งต้องครอบคลุม ยืดหยุ่น และมุ่งเน้นที่ผลลัพธ์ โดยไทยมีความมุ่งมั่นเดินหน้าขับเคลื่อนความร่วมมือกับนานาประเทศบนพื้นฐานของความไว้เนื้อเชื่อใจ ความเข้าใจ และความเคารพซึ่งกันและกัน ในการเผชิญหน้ากับความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์และสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลงไปเพื่อคงไว้ซึ่งสันติภาพโลก

การส่งเสริมสิทธิมนุษยชน นายกรัฐมนตรีกล่าวเน้นย้ำว่า รัฐบาลให้ความสำคัญต่อการเคารพต่อสิทธิมนุษยชน ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และสิทธิเสรีภาพ โดยดำเนินการเสริมสร้างความเท่าเทียมและความยุติธรรมให้กับประชาชนกลุ่มเปราะบางและคนชายขอบ ผ่านการสร้างความเข้มแข็งให้กฎหมายและเพิ่มความโปร่งใสในรัฐบาล และมุ่งมั่นบังคับใช้กฎหมายอย่างยุติธรรม ครอบคลุม และเสมอภาคกับทุกคน ทั้งนี้ ประเทศไทยในฐานะผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (Human Rights Council: HRC) วาระปี ค.ศ. 2025-2027 แสดงความมุ่งมั่นที่จะร่วมส่งเสริมสิทธิมนุษยชนทั้งในประเทศและทั่วโลก ตลอดจนส่งเสริมการทำงานของ HRC ให้มีประสิทธิภาพ สอดรับกับความท้าทาย และสร้างผลลัพธ์เชิงบวกให้กับประชาคมโลก

นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงบทเรียนจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสำคัญในการเข้าถึงการบริการทางด้านสาธารณสุข โดยเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานสำคัญที่รัฐบาลของแต่ละประเทศควรมอบให้แก่ประชาชนของตน พร้อมยกตัวอย่างความสำเร็จของไทยในการมีระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2002 โดยมีบทบาทสำคัญในการป้องกัน รักษา และบรรเทาโรค ให้กับคนไทยทุกช่วงวัย ซึ่งรัฐบาลมีแผนที่จะยกระดับระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าให้มีคุณภาพและเพิ่มทางเลือกในการรักษาที่เหมาะสมให้กับผู้ป่วยมากยิ่งขึ้น เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนสามารถเข้าถึงการบริการทางด้านสาธารณสุขที่มีคุณภาพสูงได้มากยิ่งขึ้น โอกาสนี้ ไทยยังขอให้ทุกประเทศร่วมมือกันเสริมสร้างกลไกความร่วมมือระดับโลกเพื่อป้องกันกับโรคระบาดใหญ่ (pandemic treaty) สำหรับเตรียมรับมือกับโรคระบาดในอนาคต

เรื่องการพัฒนาอย่างยั่งยืนของโลก ไทยยืนยันเจตนารมณ์ในการร่วมมือกับประชาคมระหว่างประเทศในการเดินหน้าไปไปสู่เป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน ซึ่งแม้ว่าในปัจจุบันการดำเนินการจะสำเร็จคิดเป็นเพียง 12% แต่นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่ากำลังเดินมาถูกทาง โดยทุกฝ่ายต้องร่วมกันผลักดันการปฏิบัติตามวาระการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ. 2030 ให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม ซึ่งรัฐบาลไทยวางแผนที่จะออกนโยบายที่กระตุ้นการจ้างงานและสนับสนุนเงินทุนแก่ครอบครัวที่มีรายได้ต่ำและประชาชนในกลุ่มเปราะบาง นอกจากนี้ ที่ผ่านมายังมุ่งเน้นการพัฒนาที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลางและการเติบโตที่ยั่งยืนด้วยหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และนโยบายเศรษฐกิจ BCG ซึ่งส่งเสริมการเติบโตเศรษฐกิจโดยใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีควบคู่กับการรักษาสิ่งแวดล้อม

นายกรัฐมนตรีคำนึงถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลกซึ่งทวีความรุนแรงขึ้น สอดคล้องกับคำกล่าวของเลขาธิการสหประชาชาติในการเตรียมรับมือการเข้าสู่ยุคโลกเดือด (Global Boiling) พร้อมเน้นย้ำถึงความร่วมมือจากทุกประเทศในการดำเนินการอย่างเร่งด่วน ผ่านกรอบการประชุม Climate Ambition Summit เพื่อเป็นกลไกในการเสริมสร้างความร่วมมือกันซึ่งจะนำไปสู่การลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อมนุษยชาติ โดยผลกระทบที่สำคัญคือ ปัญหาความมั่นคงทางอาหารและการขาดแคลนสารอาหาร ซึ่งประเทศไทยในฐานะประเทศส่งออกอาหารและผลผลิตทางการเกษตรที่สำคัญของโลกก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน รัฐบาลจึงได้ดำเนินการพัฒนาระบบการบริหารจัดการน้ำและการเกษตร เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังสนับสนุนการดำเนินนโยบายการเงินสีเขียว (Green Finance Mechanism) ตราสารหนี้เพื่อความยั่งยืน (Sustainability Bond) รวมถึง Thailand Green Taxonomy ซึ่งส่งเสริมให้เกิดการลงทุนเพื่อความยั่งยืน ผ่านการกระตุ้นการกำหนดกิจกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งตั้งเป้าลดก๊าซเรือนกระจก 40% ภายในปี 2040 มุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน ภายในปี 2050 และปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2065 รวมถึงมีแผนการเพิ่มการใช้พลังงานทดแทน พร้อมเดินหน้าเปลี่ยนผ่านระบบคมนาคมไปสู่การใช้พลังงานสะอาด โดยส่งเสริมการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าภายในประเทศ

ในช่วงท้าย นายกรัฐมนตรีเชิญชวนทุกฝ่ายให้กระชับความร่วมมือเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน พร้อมแบ่งปันประสบการณ์และการเรียนรู้ซึ่งกันและกัน เพื่อสันติภาพ ความมั่งคั่ง ความก้าวหน้าและความยั่งยืนสำหรับทุกคน และหวังว่าการประชุมครั้งสำคัญอย่าง Summit of the Future ในปีหน้า จะเป็นกรอบความร่วมมือพหุภาคีที่สำคัญของสหประชาชาติในการเสริมสร้างสันติภาพและการพัฒนาอย่างยั่งยืนให้แก่โลก

นายกฯ ย้ำนโยบายเศรษฐกิจรัฐบาลไทยกับตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก

วันนี้ (22 กันยายน 2566) เวลา 08.30 น. ตามเวลาท้องถิ่นสหรัฐฯ ณ ตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก (NewYork Stock Exchange: NYSE) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พบหารือกับนายจอห์น ทัตเทิล (Mr. John Tuttle) รองประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก ภายหลังเสร็จสิ้นสรุปสาระสำคัญ ดังนี้

นายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก (NYSE) ถือเป็นสถานที่ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของเศรษฐกิจโลก ยืนยันประเทศไทยพร้อมร่วมมือกับนานาประเทศ พร้อมดำเนินความร่วมมือด้านธุรกิจ (Open for business)

รองประธานฯ ชื่นชมนโยบาย และเสถียรภาพของประเทศ และนักธุรกิจไทย เชื่อมั่นภายใต้การทำงานของนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลไทย 

ทั้งสองฝ่ายเชื่อมั่นว่าตลาดทุน ตลาดการเงินสหรัฐฯ จะเป็นโอกาสให้คนไทยและธุรกิจไทยที่มีศักยภาพ ซึ่งนายกรัฐมนตรีพร้อมทำงาน ผลักดันธุรกิจไทยที่มีศักยภาพ เพิ่มโอกาสให้เข้าถึงตลาดเงินทุน และขยายธุรกิจได้

พร้อมกันนี้ รองประธานกรรมการฯ กล่าวว่า เอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นภูมิภาคที่น่าสนใจในตอนนี้ ประกอบกับรัฐบาลไทยเพิ่งจะจัดตั้งได้อย่างมีเสถียรภาพ ทำให้ประเทศไทยน่าสนใจมากยิ่งขึ้น และ ชื่นชมหลายๆ บริษัทไทย ที่ให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจอย่างสร้างสรรค์ ทั้งการพัฒนาอย่างยั่งยืน และมีมุมมองที่เกี่ยวข้องกับตลาดการเงินสีเขียว

และในตอนท้ายก่อนเดินทางออกจาก NYSE ในช่วงเวลา 9.29 น. นายกรัฐมนตรีได้ กดปุ่มทำการซื้อขาย (Opening Bell)