Think In Truth
'ตัดสิทธิ์'ช่อ'ตลอดชีพเพิ่มเชื้อเร่งแก้รธน. โดย : หมาเห่าการเมือง
จากกรณีที่นางสาวพรรณิการ์ วานิช ถูกศาลฎีการตัดสินตัดสิทธิ์ทางการเมืองในการลงรับสมัครการเลือกตั้งตลอดชีวิต จากกรณีโพสต์ภาพที่ถูกกล่าวหาว่าพาดพิงสถาบันฯ เมื่อปี 2553 การกระทำดังกล่าวถือเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา แต่โทษสูงสุดของความผิดฐานหมิ่นประมาทคือจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ การที่นางสาวพรรณิกา วานิช ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองตลอดชีวิตจึงถือว่าเป็นการลงโทษที่รุนแรงกว่าความผิดที่กระทำ
บทบัญญัติว่าด้วยการตัดสิทธิ์ทางการเมืองตลอดชีวิตในรัฐธรรมนูญปี 2560 นั้น มีข้อวิจารณ์จากหลายฝ่ายว่าเป็นการจำกัดสิทธิทางการเมืองของประชาชนอย่างรุนแรง และอาจนำไปสู่การละเมิดสิทธิมนุษยชนได้ กรณีของนางสาวพรรณิการ์ วานิช ก็เป็นกรณีหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงข้อจำกัดดังกล่าว
นอกจากนี้ บทบัญญัติว่าด้วยการตัดสิทธิ์ทางการเมืองตลอดชีวิตในรัฐธรรมนูญปี 2560 นั้น ยังมีลักษณะที่คลุมเครือและไม่ชัดเจน ทำให้เกิดความไม่แน่นอนในการดำเนินคดีและอาจนำไปสู่การเลือกปฏิบัติได้ ในกรณีของนางสาวพรรณิการ์ วานิช ศาลฎีกาได้วินิจฉัยว่านางสาวพรรณิการ์ วานิช มีพฤติการณ์ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง แต่ไม่ได้ระบุอย่างชัดเจนว่าพฤติการณ์ที่นางสาวพรรณิกา วานิช กระทำนั้นมีลักษณะอย่างไร จึงอาจนำไปสู่การตีความที่แตกต่างออกไปได้
การที่นางสาวพรรณิการ์ วานิช ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองตลอดชีวิต จึงเป็นกรณีตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึงความไม่เหมาะสมของบทบัญญัติว่าด้วยการตัดสิทธิ์ทางการเมืองตลอดชีวิตในรัฐธรรมนูญปี 2560 กรณีนี้อาจกระตุ้นให้เกิดการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อลดโทษการตัดสิทธิ์ทางการเมืองให้เหมาะสมยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม โอกาสในการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้บทบัญญัติว่าด้วยการตัดสิทธิ์ทางการเมืองตลอดชีวิตมีความเหมาะสมยิ่งขึ้นนั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น สถานการณ์ทางการเมืองและสถานการณ์ภายในรัฐสภา หากสถานการณ์ทางการเมืองมีความไม่แน่นอนหรือรัฐสภามีเสียงข้างมากที่ไม่สนับสนุนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก็อาจทำให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญในประเด็นนี้เป็นไปได้ยาก
นอกจากนี้ ผู้ที่เรียกร้องให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญในประเด็นนี้ จะต้องสามารถนำเสนอแนวทางการแก้ไขที่ชัดเจนและสามารถอธิบายให้สังคมเข้าใจได้ หากแนวทางการแก้ไขไม่ชัดเจนหรือไม่สามารถอธิบายให้สังคมเข้าใจได้ ก็อาจทำให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญในประเด็นนี้เป็นไปได้ยากเช่นกัน การแก้ไขรัฐธรรมนูญตามกรณีการตัดสิทธิของนางสาวพรรณิกา วาณิช ปัญหาที่อาจเกิดขึ้นมีดังนี้
- ปัญหาการตีความ ในกรณีที่มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อลดโทษการตัดสิทธิ์ทางการเมือง ปัญหาที่อาจเกิดขึ้นคือ การตีความว่าการกระทำใดบ้างที่ควรได้รับการลงโทษการตัดสิทธิ์ทางการเมือง โดยหากบทบัญญัติที่แก้ไขมีความคลุมเครือหรือไม่ชัดเจน ก็อาจนำไปสู่การตีความที่แตกต่างออกไปและอาจทำให้เกิดปัญหาการบังคับใช้กฎหมายได้
- ปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชน ในกรณีที่มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อลดโทษการตัดสิทธิ์ทางการเมือง ปัญหาที่อาจเกิดขึ้นคือ การละเมิดสิทธิมนุษยชนของประชาชน โดยหากบทบัญญัติที่แก้ไขยังคงมีโทษการตัดสิทธิ์ทางการเมืองที่รุนแรงอยู่ ก็อาจถูกมองว่าเป็นการจำกัดสิทธิทางการเมืองของประชาชนอย่างรุนแรงและอาจนำไปสู่การละเมิดสิทธิมนุษยชนได้
- ปัญหาการขัดแย้งทางการเมือง ในกรณีที่มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อลดโทษการตัดสิทธิ์ทางการเมือง ปัญหาที่อาจเกิดขึ้นคือ การขัดแย้งทางการเมือง โดยหากฝ่ายการเมืองที่มีอำนาจไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญในประเด็นนี้ ก็อาจนำไปสู่การขัดแย้งทางการเมืองได้
ประเด็นการที่นางสาวพรรณิกา วาณิช ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองตลอดชีวิตนี้ อาจทำให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญยากขึ้น ซึ่งนายภูมิธรรม เวชยชัย เสนอให้แก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อลดอำนาจของศาลฎีกาในการตัดสิทธิ์ทางการเมือง โดยให้เปลี่ยนจากการตัดสิทธิ์ตลอดชีวิตเป็นการตัดสิทธิ์ชั่วคราวเพียง 5 ปี การถูกตัดสิทธิ์ในการลงสมัครรับเลือกตั้งตลอดชีวิตของช่อ พรรณิการ์ อาจทำให้เห็นถึงปัญหาของอำนาจศาลฎีกาในการตัดสิทธิ์ทางการเมือง ซึ่งอาจทำให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญในเรื่องนี้ยากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ผลของกรณีนี้ต่อการศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญของนายภูมิธรรม เวชยชัย ยังต้องรอดูต่อไปว่าจะมีการพิจารณาอย่างไรต่อไป โดยนายภูมิธรรม เวชัย ยังคงยืนยันที่จะเดินหน้าศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญต่อไป
นอกจากนี้ กรณีนี้ยังอาจส่งผลกระทบต่อบรรยากาศทางการเมืองในภาพรวมได้ โดยอาจทำให้ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับอำนาจศาลฎีกาในการตัดสิทธิ์ทางการเมืองมีเสียงดังขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่การเรียกร้องให้แก้ไขรัฐธรรมนูญในเรื่องนี้ต่อไป
การแก้ไขรัฐธรรมนูญที่นายภูมิธรรม เวชชัย กำลังศึกษาแนวทางดำเนินการ คาดว่าจะถูกฝ่ายตรงข้ามคัดค้านอย่างแน่นอน โดยฝ่ายตรงข้ามอาจคัดค้านในประเด็นต่างๆ ดังนี้
- ประเด็นการลดอำนาจศาล นายภูมิธรรม เวชยชัย เสนอให้แก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อลดอำนาจของศาลฎีกาในหลายประเด็น เช่น การยกเลิกอำนาจศาลฎีกาในการตัดสิทธิ์ทางการเมืองตลอดชีวิต การลดอำนาจศาลรัฐธรรมนูญในการตีความรัฐธรรมนูญ เป็นต้น การแก้ไขรัฐธรรมนูญในประเด็นเหล่านี้อาจทำให้ฝ่ายตรงข้ามมองว่าเป็นการแทรกแซงอำนาจตุลาการ ซึ่งอาจนำไปสู่การคัดค้าน
- ประเด็นการแก้ไขเนื้อหารัฐธรรมนูญ นายภูมิธรรม เวชยชัย เสนอให้แก้ไขเนื้อหารัฐธรรมนูญในหลายประเด็น เช่น การแก้ไขระบบการเลือกตั้ง การกระจายอำนาจ เป็นต้น การแก้ไขรัฐธรรมนูญในประเด็นเหล่านี้อาจทำให้ฝ่ายตรงข้ามมองว่าเป็นการทำลายระบอบประชาธิปไตย ซึ่งอาจนำไปสู่การคัดค้าน
- ประเด็นความไม่รอบคอบ การแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นกระบวนการที่ต้องใช้ความรอบคอบเป็นอย่างมาก หากการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่นายภูมิธรรม เวชชัย เสนอนั้นไม่รอบคอบ อาจทำให้เกิดปัญหาตามมาในอนาคต ซึ่งอาจทำให้ฝ่ายตรงข้ามคัดค้าน
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายตรงข้ามอาจไม่ได้คัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งหมด โดยอาจคัดค้านในประเด็นใดประเด็นหนึ่ง หรืออาจคัดค้านในรายละเอียดของข้อเสนอการแก้ไขรัฐธรรมนูญก็ได้ ซึ่งประเด็นปัญหาในการแก้ไขรัฐธรรมนูญอาจจะเกิดขึ้นได้ในประเด็นต่างๆ ดังนี้
- ปัญหาการตีความ ในกรณีที่มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อลดโทษการตัดสิทธิ์ทางการเมือง ปัญหาที่อาจเกิดขึ้นคือ การตีความว่าการกระทำใดบ้างที่ควรได้รับการลงโทษการตัดสิทธิ์ทางการเมือง โดยหากบทบัญญัติที่แก้ไขมีความคลุมเครือหรือไม่ชัดเจน ก็อาจนำไปสู่การตีความที่แตกต่างออกไปและอาจทำให้เกิดปัญหาการบังคับใช้กฎหมายได้
- ปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชน ในกรณีที่มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อลดโทษการตัดสิทธิ์ทางการเมือง ปัญหาที่อาจเกิดขึ้นคือ การละเมิดสิทธิมนุษยชนของประชาชน โดยหากบทบัญญัติที่แก้ไขยังคงมีโทษการตัดสิทธิ์ทางการเมืองที่รุนแรงอยู่ ก็อาจถูกมองว่าเป็นการจำกัดสิทธิทางการเมืองของประชาชนอย่างรุนแรงและอาจนำไปสู่การละเมิดสิทธิมนุษยชนได้
- ปัญหาการขัดแย้งทางการเมือง ในกรณีที่มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อลดโทษการตัดสิทธิ์ทางการเมือง ปัญหาที่อาจเกิดขึ้นคือ การขัดแย้งทางการเมือง โดยหากฝ่ายการเมืองที่มีอำนาจไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญในประเด็นนี้ ก็อาจนำไปสู่การขัดแย้งทางการเมืองได้
แนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อลดโทษการตัดสิทธิ์ทางการเมืองอย่างเหมาะสมนั้น สามารถทำได้โดยการกำหนดเงื่อนไขในการตัดสิทธิ์ทางการเมืองให้ชัดเจนยิ่งขึ้น เช่น กำหนดให้การตัดสิทธิ์ทางการเมืองมีผลเฉพาะการกระทำที่ร้ายแรงและมีผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐหรือสังคม หรือกำหนดให้การตัดสิทธิ์ทางการเมืองมีระยะเวลาที่จำกัด เป็นต้น นอกจากนี้ ควรมีการปรับปรุงกลไกในการบังคับใช้กฎหมายเพื่อให้มีความโปร่งใสและตรวจสอบได้มากขึ้น
ประเด็นนี้อาจส่งผลต่อความขัดแย้งทางการเมืองได้ เนื่องจากการตัดสิทธิ์ทางการเมืองเป็นประเด็นที่มีความขัดแย้งทางการเมืองอยู่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ฝ่ายที่สนับสนุนการแก้ไขรัฐธรรมนูญในประเด็นนี้ มองว่าการตัดสิทธิ์ทางการเมืองตลอดชีวิตเป็นโทษที่รุนแรงเกินไปและอาจนำไปสู่การละเมิดสิทธิมนุษยชนได้ ในขณะที่ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญในประเด็นนี้ มองว่าการตัดสิทธิ์ทางการเมืองเป็นมาตรการที่จำเป็นในการปกป้องสถาบันหลักของประเทศ
หากมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อลดโทษการตัดสิทธิ์ทางการเมือง ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญในประเด็นนี้ อาจมองว่าเป็นการยั่วยุหรือท้าทายอำนาจของตน และอาจนำไปสู่ความขัดแย้งทางการเมืองได้
อย่างไรก็ตาม ความขัดแย้งทางการเมืองในประเด็นนี้อาจลดลงได้ หากมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญอย่างรอบคอบและมีการถกเถียงอย่างรอบด้าน โดยควรพิจารณาถึงปัจจัยต่างๆ เช่น มาตรฐานสากลด้านสิทธิมนุษยชน สถานการณ์ทางการเมือง และความคิดเห็นของประชาชน
หากการแก้ไขรัฐธรรมนูญในประเด็นนี้ สามารถลดโทษการตัดสิทธิ์ทางการเมืองได้อย่างเหมาะสมและสอดคล้องกับหลักการประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน ก็อาจช่วยลดความขัดแย้งทางการเมืองในประเด็นนี้ได้ ในทางกลับกัน หากการแก้ไขรัฐธรรมนูญในประเด็นนี้ ไม่ได้รับการยอมรับจากทุกฝ่าย ก็อาจยิ่งทำให้ความขัดแย้งทางการเมืองในประเด็นนี้รุนแรงขึ้นได้ ซึ่งเป็นเป้าหมายในการตั้งรัฐบาลข้ามขั้วของพรรคเพื่อไทย ที่มุ่งสร้างความปรองดองในชาติให้เกิดขึ้น พรรคเพื่อไทยจึงยอมเทหมดหน้าตักเพื่อแลกมาซึ่งการสลายขั้วทางการเมืองและเกิดความปรองดอง หมดซึ่งความขัดแย้งทางสังคม