Think In Truth
เพลงยุทธ์ สยบดอลลาร์ฝ่ายุทธภพ 'เงิน' โดย : หมาเห่าการเมือง
เมื่อวานนี้(27 กันยายน 2566) รายงานข่าวจาก PPTV36News รายงานว่า ค่าเงินบาทยังคงเคลื่อนไหวอ่อนค่าลง แกว่งตัวในช่วง 36.29-36.48 บาทต่อดอลลาร์ ตามจังหวะการปรับตัวแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ที่ได้แรงหนุนจากความกังวลแนวโน้มเฟดอาจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับสูงได้นาน และความต้องการถือเงินดอลลาร์เป็นสินทรัพย์ปลอดภัยในช่วงตลาดผันผวน
ด้านเงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก เนื่องจากความกังวลแนวโน้มธนาคารคารกลางสหรัฐฯ หรือ เฟด (Fed) อาจคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงได้นาน และความต้องการถือเงินดอลลาร์เป็นสินทรัพย์ปลอดภัย
นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า วันนี้จับตาการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ของไทย โดยประเมินว่า อาจขึ้นดอกเบี้ยสู่ระดับ 2.50% ท่ามกลางแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อที่มีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นจากผลกระทบของภาวะเอลนีโญ, ราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง และการฟื้นตัวของการบริโภคตามแรงหนุนของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ
แนวโน้มค่าเงินบาทจะอ่อนตัวลงต่อในช่วงที่เหลือของปี 2566 เนื่องจากปัจจัยดังต่อไปนี้
- ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ยังคงดำเนินนโยบายการเงินแบบตึงตัวด้วยการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างต่อเนื่อง เพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อที่สูงในสหรัฐฯ ส่งผลให้เงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่นๆ ทั่วโลก รวมถึงเงินบาท
- เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มชะลอตัวลงจากผลกระทบของสงครามรัสเซีย-ยูเครน และปัญหาเงินเฟ้อที่สูง ส่งผลให้ความต้องการสินค้าและบริการจากต่างประเทศลดลง ซึ่งจะส่งผลลบต่อการส่งออกของไทย และทำให้เงินบาทอ่อนค่าลง
- ปัจจัยภายในประเทศ เช่น ภาวะเงินเฟ้อที่สูง และความไม่แน่นอนทางการเมือง ก็อาจส่งผลกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงได้เช่นกัน
จากปัจจัยข้างต้น คาดว่าค่าเงินบาทจะอ่อนค่าลงแตะระดับ 36-37 บาทต่อดอลลาร์ในช่วงปลายปี 2566
อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยที่อาจส่งผลต่อแนวโน้มค่าเงินบาทได้ เช่น สถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครน สถานการณ์เศรษฐกิจโลก และนโยบายการเงินของเฟด หากปัจจัยเหล่านี้มีทิศทางที่ดีขึ้น อาจส่งผลให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นได้บ้าง
สำหรับผลกระทบของค่าเงินบาทอ่อนค่าลงต่อเศรษฐกิจไทยนั้น ในด้านบวก จะช่วยส่งเสริมภาคการส่งออกของไทย และทำให้สินค้าและบริการของไทยมีราคาแข่งขันในตลาดโลกได้มากขึ้น นอกจากนี้ เงินบาทอ่อนค่าลงยังส่งผลดีต่อนักท่องเที่ยวต่างชาติ เนื่องจากทำให้ค่าเงินบาทมีมูลค่าลดลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่นๆ ซึ่งทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติสามารถใช้จ่ายเงินในประเทศไทยได้มากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ในด้านลบ ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงอาจส่งผลต่อต้นทุนการนำเข้าของไทยที่สูงขึ้น เนื่องจากต้องแลกเงินบาทเป็นเงินดอลลาร์มากขึ้นเพื่อนำเข้าสินค้าและบริการจากต่างประเทศ นอกจากนี้ ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงยังอาจส่งผลต่อเงินเฟ้อที่สูงขึ้น เนื่องจากต้นทุนการนำเข้าสินค้าและบริการที่สูงขึ้นจะถูกส่งผ่านไปยังผู้บริโภค
โดยสรุปแล้ว ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงจะส่งผลทั้งบวกและลบต่อเศรษฐกิจไทย ซึ่งผู้ประกอบการและผู้บริโภคควรเตรียมพร้อมรับมือกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น
ด้านบวก
- ช่วยให้บริษัทต่างชาติที่ทำธุรกิจในไทยมีต้นทุนการผลิตที่ลดลง เนื่องจากสามารถนำเข้าวัตถุดิบหรือสินค้าจากต่างประเทศได้ในราคาถูกลง
- ช่วยให้บริษัทต่างชาติที่ทำธุรกิจในไทยมีกำไรเพิ่มขึ้น เนื่องจากสามารถส่งออกสินค้าหรือบริการจากไทยได้ในราคาที่สูงขึ้น
- ช่วยให้บริษัทต่างชาติที่ต้องการลงทุนในประเทศไทยมีความน่าสนใจมากขึ้น เนื่องจากสามารถลงทุนในไทยได้ในราคาที่ต่ำกว่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่นๆ
ด้านลบ
- อาจทำให้นักลงทุนต่างชาติเกิดความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน และอาจส่งผลให้เกิดการถอนเงินทุนออกจากประเทศไทย
- อาจทำให้นักลงทุนต่างชาติที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศไทยมีความระมัดระวังมากขึ้น เนื่องจากต้องเผชิญกับความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนที่สูงขึ้น
โดยสรุปแล้ว ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงอาจส่งผลดีต่อการลงทุนจากต่างประเทศในระยะสั้น เนื่องจากช่วยให้บริษัทต่างชาติที่ทำธุรกิจในประเทศไทยมีต้นทุนการผลิตและกำไรที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ในระยะยาว ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงอาจส่งผลลบต่อการลงทุนจากต่างประเทศ เนื่องจากอาจทำให้นักลงทุนต่างชาติเกิดความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน และอาจส่งผลให้เกิดการถอนเงินทุนออกจากประเทศไทย
ภาวะการอ่อนค่าของเงินบาทไทยอาจส่งผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากค่าเงินบาทอ่อนค่าลงต่อการลงทุนจากต่างประเทศบริษัทต่างชาติที่ทำธุรกิจในประเทศไทยอาจพิจารณาปรับลดราคาสินค้าหรือบริการลง เพื่อแข่งขันกับผู้ประกอบการไทยที่ต้นทุนการผลิตลดลง บริษัทต่างชาติที่ทำธุรกิจในประเทศไทยอาจพิจารณาย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศที่มีค่าเงินแข็งค่าขึ้น เพื่อลดต้นทุนการผลิต นักลงทุนต่างชาติอาจพิจารณาลดการลงทุนในประเทศไทย หรือถอนเงินทุนออกจากประเทศไทย เพื่อลดความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน
ทั้งนี้ ผลกระทบที่แท้จริงของค่าเงินบาทอ่อนค่าลงต่อการลงทุนจากต่างประเทศนั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น สถานการณ์เศรษฐกิจโลก สถานการณ์ทางการเมืองในประเทศไทย และนโยบายส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศของภาครัฐ
มาตรการป้องกันค่าเงินบาทอ่อนค่าลงนั้น สามารถทำได้ทั้งจากภาครัฐและภาคเอกชน ดังนี้
มาตรการจากภาครัฐ
- ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อาจใช้มาตรการแทรกแซงตลาดเงิน เพื่อรักษาเสถียรภาพของค่าเงินบาท โดยอาจซื้อพันธบัตรหรือตราสารหนี้ต่างประเทศ เพื่อเพิ่มปริมาณเงินดอลลาร์ในระบบเศรษฐกิจ
- ธปท. อาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อดึงดูดเงินทุนกลับเข้ามาในประเทศ
- กระทรวงการคลังอาจออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อเพิ่มความต้องการสินค้าและบริการภายในประเทศ ซึ่งจะช่วยหนุนค่าเงินบาทให้แข็งค่าขึ้น
มาตรการจากภาคเอกชน
- ผู้ประกอบการอาจพิจารณาปรับโครงสร้างธุรกิจ เพื่อลดการพึ่งพาการนำเข้าวัตถุดิบหรือสินค้าจากต่างประเทศ
- ผู้ประกอบการอาจพิจารณาใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน เพื่อลดความเสี่ยงจากค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลง
- ผู้บริโภคอาจพิจารณาปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้จ่าย เพื่อลดการนำเข้าสินค้าและบริการจากต่างประเทศ
รัฐบาลควรมีนโยบายและมาตรการป้องกันค่าเงินบาทอ่อนค่าลงที่ภาครัฐและภาคเอกชนอาจดำเนินการได้ ควรดำเนินการ ดังนี้
มาตรการจากภาครัฐ ธปท. อาจใช้มาตรการ "forward guidance" เพื่อส่งสัญญาณว่า ธปท. มีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างต่อเนื่อง ธปท. อาจปรับลดอัตรา reserve requirement ratio (RRR) เพื่อเพิ่มสภาพคล่องในระบบเศรษฐกิจ กระทรวงการคลังอาจออกมาตรการลดภาษีนำเข้า เพื่อลดต้นทุนการนำเข้าของผู้ประกอบการ
มาตรการจากภาคเอกชน ผู้ประกอบการอาจพิจารณาใช้สัญญาซื้อขายล่วงหน้า (forward contract) เพื่อล็อกราคาซื้อขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า ผู้ประกอบการอาจพิจารณาใช้สัญญาซื้อขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า (swap contract) เพื่อแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า ผู้บริโภคอาจพิจารณาซื้อสินค้าและบริการในประเทศมากขึ้น เพื่อลดการนำเข้าสินค้าและบริการจากต่างประเทศ
ทั้งนี้ มาตรการป้องกันค่าเงินบาทอ่อนค่าลงนั้น จะต้องมีความเหมาะสมกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจและการเงินในปัจจุบัน เพื่อให้เกิดผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในวงจำกัดที่สุด
ถึงอย่างไรก็ตาม รัฐบาลควรต้องวางมาตรการการดำเนินนโยบายให้เกิดการบูรณาการในทุกมิติ โดยมองในเรื่องคุณค่าทางทรัพยากรที่จัดการโดยภูมิปัญญาท้องถิ่น ที่ยกระดับในการจัดการอย่างเป็นสากล เพื่อความเป็นอยู่ของคนในประเทศอย่างเพียงพอ และบริหารจัดการให้สามารถสนองความต้องการของต่างประเทศ เพื่อดึงเม็ดเงินจากต่างประเทศเข้ามา ดังนั้นรัฐบาลอาจจะต้องใช้นโยบายแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาทเป็นจุดเริ่มต้นในการบริหารจัดการทรัพยากรให้เกิดคุณค่าต่อคุณภาพชีวิตของประชากร และสร้างมูลค่าเพิ่มเพื่อให้เกิดพลังในการผลักดันการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ดังนั้น รัฐบาลควรต้องสร้างนวัตรกรรมการบริหารให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจากทุนผูกขาด กลายเป็นทุนแห่งความร่วมมือ โดยส่งเสริมให้ทุนผู้ขาดได้ลงทุนกับความรู้ ความสามารถในการจัดการกับทรัพยากรของท้องถิ่น เพื่อให้เกิดผลผลิตวัตถุดิบ ในการสนับสนุนการแปรรูปของทุน เพื่อการส่งออก หรือเป็นสินค้าบริการภายในประเทศ การกระจายภาระความรับผิดชอบในการสร้างผลผลิตมวลรวม และกระจายรายได้อย่างสมดุล พอเพียงต่อการดำรงชีวิตและมีคุณภาพชีวิตที่ดี จะเป็นแรงต้านการกดค่าของเงินบาทให้ต่ำลง และจะเป็นพลังพยุงค่าเงินบาทให้สูงขึ้น หวังว่ารัฐบาลจะสามารถผ่านวิกฤติการอ่อนค่าของเงินบาทไปได้อย่างไม่ยากเย็น