Think In Truth

ตลาดหุ้นดิ่ง100จุดวัดกึ๋น'นายกฯเศรษฐา' โดย : หมาเห่าการเมือง



เศรษฐา ถลา 100 จุด

โดย : หมาเห่าการเมือง

รายงานข่าวจาก AEC10NEWS ออนไลน์ เช้าวันเสาร์ที่ 30 กันยายน 2566 แจ้งว่า ตลาดหุ้นไทยต้นเดือนก.ย.2559 เข้าสู่การปรับฐานอย่างเต็มตัว เพราะในช่วง 7วันทำการตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงไปแล้วกว่า 100 จุด "

โดยต้นเดือนก.ย. ดัชนีหุ้นไทยอยู่ที่ 1,548.44 จุด ลดลงต่ำสุดที่ 1,435.67 จุด ซึ่งจะเห็นว่าดัชนีปรับตัวลดลงไป 110 จุดและมีแรงซื้อกลับขึ้นมาดันให้ดัชนีมาปิดที่ล่าสุดปิดซื้อขายที่ 1,445.28 จุด

ขณะที่ดัชนีหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมที่ปรับตัวลดลงมากสุดประกอบด้วย หุ้นธนาคารลดลง 6.31% หุ้นอสังหาริมทรัพย์ลดลง 7.33% หุ้นรับเหมาก่อสร้าง ลดลง 12.60% หุ้นสื่อสาร 6.66%

ขณะที่หากพิจารณาจากการซื้อขายแยกนักลงทุนรายกลุ่มพบว่า กองทุนในประเทศมียอดขายสุทธิ 8.17 พันล้านบาท พอร์ตลงทุนบริษัทหลักทรัพย์ 4.27 พันล้านบาท นักลงทุนต่างประเทศ ซื้อสุทธิ 3.62 พันล้านบาท และนักลงทุนในประเทศมียอดซื้อสทุธิ 8.82 พันล้านบาท

มูลค่าการซื้อขายนักลงทุน สะท้อนให้เห็นว่า แม้ดัชนีหุ้นจะปรับตัวลดลงแรง แต่นักลงทุนต่างชาติยังมียอดซื้อสุทธิให้เห็น แม้จะแผ่วบางลงไปบ้าง

สอดคล้องกับรายงาน Morgan Stanley ได้ปรับเพิ่มประมาณการกำไรของบริษัทจดทะเบียนของไทยใน MSCI Thailand ปีหน้าขึ้น 2% และกรณี Bull case กำไรโต 18% พีอีเรโช ปีหน้าลงเหลือ 12.5 เท่า (คาดปรับลดลงค่าเฉลี่ย 10 เท่าต้นๆ หุ้นไทยมีความเสี่ยงขาลงได้ประมาณ 10%)

จากศรัทธากลายเป็าร้อยจุดได้อย่างไร ฉายาใหม่ นายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีศิลป์ ฐาร้อยจุด เมื่อหุ้นไทยดิ่งเหวเกิดอะไรขึ้น? ทําไมนักลงทุนขาดความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจไทยหลังรัฐบาลใหม่เข้ามารับหน้าที่ ส่งผลให้การคาดการณ์ทางเศรษฐกิจไทยปีหน้าปรับตัวลดลงไป

สิริกัญญา ตันตระกุลยังแรงดีสีไม่ตก โพสต์ถามนายกรัฐมนตรีในฐานะรัฐมนตรีคลังว่า "ประมาณการรายได้ปี 67 ที่เพิ่มขึ้น 30,000ล้านบาทมาจากไหน ปรากฏว่ามาจากการที่รัฐบาลจะเก็บภาษีหุ้น 14,000ล้านบาท ที่เหลือมาจากการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บภาษี ที่ต้องตั้งคำถามก็เพราะว่ารายงานที่เป็นตารางประมาณการงบประมาณนี้กระทรวงการคลังเอาเข้า ครม. 30 กันยายนนี้ แต่ปรากฏว่าสองวันถัดมานายกยืนยันให้สัมภาษณ์ว่าจะยกเว้นภาษีหุ้น ตกลงจะเก็บภาษีหุ้นไหมคะ? ท่านนายก? ช่วย คุยกับรัฐมนตรีคลังให้รู้เรื่องก่อน นายกเศรษฐาช่วยไปคุยกับนายเศรษฐา ทวีศิลป์ รัฐมนตรีการคลังให้รู้เรื่องด้วย ถ้าไม่เก็บก็ต้องประมาณการรายได้มาใหม่  เพราะรายได้ลดลง ต้องกู้ชดเชยขาดทุนเพิ่ม ยอดหนี้สาธารณะก็ต้องปรับเพิ่มนะคะ เพราะฉะนั้นตารางประมาณการรายได้สุทธิที่ทํามายังไม่ถูกต้อง”  ครูไหมสิริกัญญาตรวจการบ้านแล้ว นักเรียนเศรษฐา ทวีศิลป์ไปแก้ไขให้ถูกต้องด้วย

รัฐมนตรีการคลังบอกว่า “รอนายกตัวจริงออกมาจากโรงพยาบาลตํารวจก่อนครับ” อ้าว ประเทศไทยมี นายกฯ Call Center ด้วยหรือนี่ จะพูดอะไรก็ตามที่คนอยากได้ยิน ณ เวลานั้น พอเปลี่ยนเวลามันจะลืมสิ่งที่พูดไว้ก่อนหน้านี้ทั้งหมด แล้วก็พูดสิ่งที่คนอยากได้ยินใหม่ ณ เวลาใหม่

พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตรชัย ได้โพสต์ถึงการถดถอย GDP ของประเทศไทยว่า กลายเป็นตัวเลขหักปากกาเซียนกันอีกครั้ง เมื่อสภาพัฒน์เปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจไตรมาสสองออกมา และ GDP ของไทยโตได้แค่ 1.8% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ทั้งๆที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ตั้งความหวังไว้ค่อนข้างเยอะ ส่วนใหญ่คาดกันว่าน่าจะโตได้สัก 3% เพราะนักท่องเที่ยวก็มาแล้ว เมืองก็เปิดแล้ว  ถ้าใครดูตัวเลขเผินๆ ฟังคำอธิบายว่า การท่องเที่ยวโตดีเป็นตัวผลักดันเศรษฐกิจ แต่การใช้จ่ายภาครัฐหดตัว (เพราะไม่มีการกระตุ้นเศรษฐกิจแล้ว) และการส่งออกสินค้าหดตัว ทำให้เศรษฐกิจโตต่ำกว่าคาด ก็พอเข้าใจได้ และรอดูนักวิเคราะห์ปรับประมาณการ GDP ลงแน่ๆ"

วิจัยจากศูนย์วิจัยกสิกรเขาบอกว่า "ผลของสงครามการค้าระหว่างจีนสหรัฐ มาถึงวันนี้ ปรากฏว่า สหรัฐนําเข้าสินค้าจากจีนน้อยลงทุกวัน จนการนําเข้าสินค้าจากแม็กซิโกแซงหน้าจีนไปแล้ว แต่ไทยไม่ได้อานิสงส์จากสงครามการค้าดังกล่าวเท่าไหร่เลย ปริมาณการลงทุนจากต่างประเทศเข้าในไทยในช่วงที่ผ่านมาแบนราบไม่เพิ่มขึ้น ผู้ชนะที่แท้จริงคือ อินโดนีเซีย กับเวียดนาม"

ส่วนนายก call center กลับมาคุยว่า ไปชวนคนนู้นคนนี้มาลงทุนเท่านู้นเท่านี้ แต่ไม่ปรากฏว่ามีการเซ็นต์สัญญาหรือเซ็นต์ความเข้าใจร่วมกัน MOU อะไรส่งมาสักฉบับ มีแต่คําพูดลอยลอยที่นายก call center พูดให้ประชาชนฟังให้รู้สึกว่าไปทำงานเท่านั้น

ในขณะที่ตอนนี้มีผลเรื่องราวของค่าตลาดหุ้นและ ส่งผลให้นักวิเคราะห์ผู้ประเมินเรื่องของการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทย พากันแก้ไขโดยการลดเป้าหมายลง เรียกได้ว่าลดกันโดยทั่วหน้า ถึงแม้มีรัฐบาลใหม่แล้ว แต่การคาดการณ์ ภาวะเศรษฐกิจของไทยกลับลดลงวงเล็บแย่ลง

ธนาคารแห่งประเทศไทยเคยตั้งค่าไว้ว่า3.6% จะเติบโตเพิ่มขึ้น กลายเป็นปรับใหม่เหลือ2.8% ในขณะที่สภาความมั่นคงเศรษฐกิจและสังคมเคยคาดการณ์ว่า2.7-3.7% กลับลดลงเหลือเพียง2.5% คณะกรรมการร่วมภาครัฐเอกชน ก็เคยคาดการณ์ว่า3-3.5%  กับคาดการณ์อยู่เพียง2.5%  ศูนย์วิจัยกสิกรเคยคาดการณ์3.7% ก็เหลือ3%  ศูนย์วิจัยกรุงศรี จาก3.3% ก็เหลือ2.8%  CIMB จาก3.3% ก็เหลือ3%  กรุงไทยคาดการณ์จาก3.4% เหลือ3%  SCB คาดการณ์3.9% ก็เหลือ3.1%  TTB จากสาม3.2% เหลือ2.8%  KKPจาก3.3% เหลือ2.8% Standard Charterจาก4.2% เหลือ3.3%

จากตัวเลขการคาดการณ์ลดลงของการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทย ทำให้สามารถประเมินได้ว่า ความมั่นใจในการลงทุนที่มีต่อรัฐบาลเศรษฐา1 ลดลง ดรรชนีการส่งออกของประเทศก็มีความลดลง ซึ่งส่งผลต่อการลดค่าเงินบาทลงตามลำดับ นี่คือปัญหาเร่งด่วนที่นายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน จำเป็นต้องเร่งในการแก้ปัญหา ไม่นั้นก็จะถูกตั้งฉายาในทางลบไปเรื่อยๆ และจะกลายเป็นจุดอ่อนในการบริหารประเทศ ซึ่งจะส่งผลต่อความเชื่อมั่นในการลงทุน