In News

นายกฯบินแล้วเยือน4ปท.อาเชียน-ฮ่องกง ยันห่วงปัญหาอิสราเอลสั่งติดตามใกล้ชิด



กรุงเทพฯ-นายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์สถานการณ์ในประเทศอิสราเอลได้ประประสานงานเอกอัตรราชทูตไทยประจำอิสราเอลอย่างต่อเนื่อง ก่อนเดินทางเยือน เขตบริหารพิเศษฮ่องกง สาธารณรัฐประชาชนจีน บรูไนดารุสซาลาม มาเลเซีย และสาธารณรัฐสิงคโปร์ อย่างเป็นทางการ ก่อนหน้านี้โฆษกรัฐบาลเผยนายกฯ ประณามการโจมตีอิสราเอล ที่ทำให้เกิดการสูญเสีย พร้อมสั่งการกองทัพอากาศอพยพคนไทยจากอิสราเอล ขณะที่ 'ภูมิธรรม'สั่งทูตพาณิชย์อิสราเอลรายงานสถานการณ์ด่วนและติดตามทุกระยะเฝ้าระวัง 24ชั่วโมง ส่วนรมว.แรงงาน“พิพัฒน์”ห่วงแรงงานไทยในอิสราเอล หลังสถานทูตแจ้งเตือนภาวะสงคราม กำชับทูตแรงงานฯ ดูแลใกล้ชิด

วันนี้ 8 ตุลาคม 2566 นายกรัฐมนตรี ได้โทรศัพท์หา ออท อิสราเอลประจำประเทศไทย เพื่อให้กำลังใจ และฝากฝังให้ดูแลคนไทยรวมทั้งได้คุยกับ เอกอัครราชทูตไทย ประจำอิสราเอลในช่วงเช้ามืดที่ผ่านมา ซึ่งได้รายงานว่า มีคนไทยเสียชีวิต 1 ราย และมีแรงงานถูกจับกุมกักขัง 4 ราย โดยยังไม่ได้รับการยืนยันว่าอยู่ส่วนไหนของอิสราเอล สถานการณ์ในขณะนี้ในพื้นที่คือ ห้ามออกจากบ้าน มีการสู้รบ น่านฟ้าปิด 

โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า จะพยายามเต็มที่ทุกวิธีทางทางการทูตเพราะเป็นผู้บริสุทธิ์ ไม่เกี่ยวข้องใดๆ ทั้งนี้ กำลังรอรายงานยืนยัน โดยมีแผนอพยพเตรียมพร้อมไว้ 24 ชม ซึ่งจะขอให้มีแพทย์ร่วมเดินทางในคณะด้วย แต่ขณะนี้น่านฟ้าปิด total lockdown และให้ความกังวลในระดับสูงสุด

นายกรัฐมนตรีและรัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจ เฝ้าระวัง 24 ชม. และขอให้มีรายงานประจำวันมายังนายกรัฐมนตรี ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้ให้เบอร์ติดต่อไว้ ติดต่อได้ 24 ชม 

นายกฯ ประณามการโจมตีอิสราเอล ที่ทำให้เกิดการสูญเสีย พร้อมสั่งการกองทัพอากาศอพยพคนไทยจากอิสราเอล

ก่อนหน้านี้นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังประณามการโจมตีอิสราเอล ทำให้ ผู้บริสุทธิ์เสียชีวิตและบาดเจ็บ พร้อมกันนี้ได้สั่งการให้กองทัพอากาศอพยพคนไทยออกจากอิสราเอลและนายกรัฐมนตรีประณามว่าเป็นการโจมตีที่ไร้มนุษยธรรม และแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อรัฐบาลและประชาชนอิสราเอล โดยขอร่วมกับประชาคมโลกประณามการกระทำดังกล่าวพร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้กองทัพอากาศเตรียมพร้อมเครื่อง Airbus A340 และ C-130 อพยพคนไทยออกจาก อิสราเอลทันที 

“นายกรัฐมนตรีติดตามสถานการณ์ร่วมกับกระทรวงต่างประเทศอย่างใกล้ชิด ต้องการให้คนไทยปลอดภัย และได้กลับบ้าน ด้วยความกังวลใจต่อการรายงานเข้ามาว่ามีแรงงานไทยถูกจับด้วย ซึ่งกำลังยืนยันข้อมูลจากทางการอิสราเอล ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้สั่งการทางกองทัพและหน่วยแพทย์ฉุกเฉินเตรียมความพร้อมให้การช่วยเหลือ” นายชัย กล่าว

'ภูมิธรรม'สั่งทูตพาณิชย์อิสราเอลรายงานสถานการณ์ด่วน

กรณีเกิดเหตุจรวดโจมตีจากฉนวนกาซาไปยังหลายพื้นที่ในอิสราเอลและนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ระบุว่า อิสราเอล “เข้าสู่สงคราม”นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ได้ขอให้ทุกส่วนที่เกี่ยวข้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด 

“ผมขอส่งความห่วงใยอย่างที่สุดไปคณะผู้แทนทางการทูตไทยประจำอิสราเอล รวมทั้งทูตพาณิชย์ และทีมงาน ตลอดจนพี่น้องชาวไทยทุกคนในอิสราเอล ขอให้ทุกท่านปลอดภัยจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น”

นอกจากนี้นายภูมิธรรม เวชยชัยยังมีข้อสั่งการด่วนไปยังปลัดกระทรวงพาณิชย์และอธิบดีทุกกรมที่เกี่ยวข้อง ดังนี้

1. ขอให้ทูตพาณิชย์ในอิสราเอล รายงานสถานการณ์และความเสียหายที่ส่งผลต่อภาคธุรกิจของไทยในอิสราเอล 

2. ขอให้สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า/กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ วิเคราะห์และประเมินผลกระทบที่อาจส่งผลทางการค้าของไทยจากกรณีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ วิเคราะห์ผลกระทบต่อแผนความร่วมมือการเปิดเจรจา FTA ไทย-อิสราเอล

3 ขอให้ทูตพาณิชย์ดูแลและให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการไทย/นักธุรกิจไทยในอิสราเอล  ตลาดจนการดำเนินการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องหากจำเป็น 

ทั้งนี้หากมีปัญหาอุปสรรคใดขอให้รีบรายงานสถานการณ์ด่วนเพื่อทางรัฐบาลจะได้เร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาได้อย่างทันท่วงที

​รมว.แรงงาน“พิพัฒน์”ห่วงแรงงานไทยในอิสราเอล หลังสถานทูตแจ้งเตือนภาวะสงคราม กำชับทูตแรงงานฯ ดูแลใกล้ชิด

ก่อนหน้านี้นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึงกรณีเกิดเหตุจรวดโจมตีจากฉนวนกาซาไปยังหลายพื้นที่ในอิสราเอลเมื่อช่วงเช้าตรู่วันนี้ว่าตามที่สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟ ได้ประกาศเตือนคนไทยในอิสราเอลให้อยู่ในที่ปลอดภัย เนื่องจากเกิดการโจมตีด้วยจรวดจากฉนวนกาซานั้น ทันทีที่ทราบข่าวผมมีความห่วงใยต่อแรงงานไทยที่ไปทำงานอยู่ในประเทศอิสราเอลจากผลกระทบของเหตุการณ์ดังกล่าว จึงได้สั่งการให้อัครราชทูตที่ปรึกษา (ฝ่ายแรงงาน) ประจำสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟ ประเทศอิสราเอลเร่งตรวจสอบและดูแลแรงงานอย่างใกล้ชิดทันที ซึ่งจากรายงานของนายกิตติ์ธนา ศรีสุริยะ อัครราชทูตที่ปรึกษา (ฝ่ายแรงงาน) ประจำสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟ เบื้องต้นพบว่า มีแรงงานไทยถูกยิงที่ขาได้รับบาดเจ็บแล้ว 1 ราย ทราบชื่อคือ นายชาตรี ชาศรี อายุ 38 ปี เดินทางโดยกรมการจัดหางานจัดส่งไปทำงานเกษตรมีภูมิลำเนาเดิมอยู่ที่จังหวัดนครพนม จากการตรวจสอบของกรมการจัดหางาน พบว่า เป็นสมาชิกกองทุนเพื่อช่วยเหลือคนหางานไปทำงานต่างประเทศด้วย นอกจากนี้ ยังพบว่ามีแรงงานไทยอีก 2 ราย ซึ่งเป็นสามีภรรยาถูกจับตัวไว้ ทราบชื่อคือ นายบุญถม พันธ์ฆ้อง อายุ 39 ปี และ น.ส.ศศิวรรณ พันธ์ฆ้อง อายุ 36 ปี ทั้งคู่มีภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดอุดรธานี ส่วนรายละเอียดอื่นๆ อยู่ระหว่างการตรวจสอบ

นายพิพัฒน์ กล่าวต่อว่า ในส่วนของการดำเนินการที่ประเทศไทยผมได้สั่งการให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานจังหวัดนครพนม และจังหวัดอุดรธานี ซึ่งเป็นพื้นที่ที่เป็นภูมิลำเนาของแรงงานไทยที่บาดเจ็บ 1 ราย และแรงงานไทยที่ถูกจับตัวไว้ 2 ราย ลงพื้นที่เยี่ยมบ้านเพื่อแจ้งข้อมูลข่าวสารสร้างขวัญกำลังใจพร้อมชี้แจงการให้ความช่วยเหลือเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ที่พึงได้รับตามกฎหมายให้แก่ญาติทราบในทันที อย่างไรก็ตามในปัจจุบันมีแรงงานไทยที่ทำงานอยู่ในประเทศอิสราเอลรวมทั้งสิ้นประมาณ 29,900 คน โดยเป็นแรงงานที่อยู่อาศัยบริเวณเมือง Netivot , Sderot, Ashkelo และพื้นที่ใกล้เคียง ประมาณ 5,000 คน

“ขอให้ญาติของแรงงานไทยที่ไปทำงานในประเทศอิสราเอล อย่าเพิ่งตื่นตระหนก ขอให้มั่นใจว่า รัฐบาลไทยทั้งสถานทูตและกระทรวงแรงงานจะให้การคุ้มครอง ดูแล อย่างดีที่สุด และจะเร่งติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และขอให้แรงงานไทยที่ทำงานอยู่ในอิสราเอลที่ได้รับผลกระทบดังกล่าว ปฏิบัติตามมาตรการของทางการอิสราเอลอย่างเคร่งครัด และแจ้งข้อมูลมายังฝ่ายแรงงาน ประจำสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟ เพื่อจะได้วางแผนในการให้ความช่วยเหลือต่อไป” นายพิพัฒน์ กล่าวท้ายสุด

ทั้งนี้ สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟ ได้ออกประกาศเตือนคนไทยในอิสราเอล โดยขอให้คนไทยเข้าห้องหลบภัยทันทีที่ได้ยินเสียงไซเรน หากไม่ทัน ให้หมอบราบลงกับพื้น ไม่ถ่ายรูป ไม่วิ่งไปที่โล่ง ปฏิบัติตามมาตรการของทางการอิสราเอลอย่างเคร่งครัด และขอให้ทุกคนโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่อาศัยในเขตภาคใต้ใกล้เคียงฉนวนกาซา และภาคกลาง รวมถึงกรุงเทลอาวีฟ ไม่ออกจากที่พักอาศัย สำหรับคนไทยที่ได้รับผลกระทบโปรดติดต่อได้ที่สถานเอกอัครราชทูตฯ หมายเลขโทรศัพท์ (+972) 5 4636 8150 กองคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์คนไทยในต่างประเทศ หมายเลข 0 2575 1047-51 ฝ่ายแรงงานไทย ประจำสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟ โทร : +972 544693476 What app ID : 0544693476 Line ID : 0544693476 (ตลอด 24 ชั่วโมง)