In News
นายกฯร่วมประชุมอาเซียน-รัฐอ่าวอาหรับ เข้าเฝ้านายกฯซาอุฯเชื่อมสัมพันธ์ทุกมิติ
กรุงเทพฯ-นายกฯ เผย นายกฯซาอุฯ ปีติ หลังไทยหนุนให้เป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลก2034 รวมทั้งขอให้สนับสนุนในการเป็นเจ้าภาพเอ็กซ์โป ก่อนหน้านี้นายกฯ ถกสุดยอดอาเซียน GCC ก่อนเข้าเฝ้าฯ เจ้าชายซาอุฯ พร้อมฝากฝังแรงงานไทย 6,000 คน แจงถึงซาอุฯ ช้ากว่า 4 ชม. เหตุเครื่องบินเบรกเสียและนายกฯ เข้าเฝ้าฯ มกุฎราชกุมาร และนายกรัฐมนตรีซาอุดีอาระเบีย ไทย-ซาอุดีฯ ยืนยันความตั้งใจมุ่งสานความสัมพันธ์ให้ใกล้ชิดและกระชับความร่วมมือด้านการค้า การลงทุน การท่องเที่ยว และความมั่นคง ก่อนหน้านี้นายกฯ ร่วมประชุมครั้งประวัติศาสตร์อาเซียน-รัฐอ่าวอาหรับ (ASEAN-GCC) พร้อมผลักดันการค้าอย่างไร้รอยต่อ เจริญเติบโตอย่างยั่งยืน และกระชับความสัมพันธ์ประชาชนของสองภูมิภาค
วันนี้ ( 20 ตุลาคม 2566) เวลา 13.30 น. (ตามเวลาท้องถิ่นซึ่งช้ากว่าประเทศไทย 4 ชั่วโมง) ที่ซาอุดิอาระเบีย นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์ถึง สมาพันธ์ฟุตบอลเอเชีย ได้มีมติเมื่อวันที่ 19 ตุลาคมที่ผ่านมาว่า จะสนับสนุนซาอุดีอาระเบียเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลก 2034 หรืออีก 12 ปีข้างหน้า ซึ่งเจ้าชายมุฮัมมัด บิน ซัลมาน บิน อับดุลอะซีซ อาล ซะอูด มกุฎราชกุมาร และนายกรัฐมนตรี แห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย เคยโทรศัพท์มาหาตนด้วยตัวเองเมื่อ 10 วันที่แล้ว ขอให้ประเทศไทยสนับสนุน โดย ณ เวลานั้น ตนเองได้แบ่งรับแบ่งสู้ เพราะเวลานั้น เรายังไม่ทราบว่าอาเซียนจะเป็นเจ้าภาพหรือเปล่า แต่เมื่อวันที่ชัดเจนแล้ว ตนเองจึงได้ตอบรับท่านไปว่าเรายินดีที่จะสนับสนุนซาอุดีอาระเบีย
"ท่านทรงปีติยินดีมาก และพูดติดตลกว่าเราติดคนไทยอยู่หนึ่ง และท่านก็บอกอีกว่าจะมีเอ็กซ์โปอีกครั้งหนึ่งในปี 2030 ซึ่งซาอุดีอาระเบียก็อยากจะเป็นเจ้าภาพอีกเช่นกัน ท่านก็บอกอยากให้ไทยช่วย ซับพอร์ต ท่านบอกขอติดไว้สองหนด้วยกัน ถือได้ว่า เป็นการพูดคุยด้วยบรรยากาศที่มีมิตรภาพที่ดี ท่านเองทรงให้ความกรุณาดูแลทีมไทยแลนด์ที่มาที่ซาอุดีอาระเบียอย่างดี"นายกรัฐมนตรีกล่าว
นายกฯถกสุดยอดอาเซียน GCC ก่อนเข้าเฝ้าฯ เจ้าชายซาอุฯพร้อมฝากฝังแรงงานไทย 6,000 คน
เวลา 13.30 น.นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ชี้แจงถึงกรณีการเดินทางมายังซาอุดีอาระเบียล่าช้ากว่ากำหนดกว่า 4 ชั่วโมง เนื่องจากเครื่องบินเบรกเสีย ต้องซ่อม แต่ก็ไม่กระทบต่อการเข้าร่วมประชุมสุดยอดอาเซียน-คณะมนตรีความร่วมมือรัฐอ่าวอาหรับ ครั้งที่ 1 เพราะเมื่อเดินทางมาถึงก็สามารถเข้าร่วมประชุมได้ทันที
โดยการประชุมดังกล่าวถือเป็นครั้งแรก ระหว่างกลุ่มประเทศอาเซียนกับ GCC ภายใต้การนำของเจ้าชายมุฮัมมัด บิน ซัลมาน บิน อับดุลอาซีซ อาล ซะอูด มกุฎราชกุมาร และนายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย ได้เปิดการประชุม จากนั้นเป็นการกล่าวสุนทรพจน์ของผู้นำประเทศสมาชิกอาเซียน เพื่อให้ความมั่นใจว่าระหว่างสองทวีปมีความสัมพันธ์ที่ดี มีแนวทางที่ชัดเจน เรื่องศักยภาพยังสามารถไปได้อีกไกล ทั้งการลงทุน การท่องเที่ยว การแพทย์ ที่ยังสามารถทำอะไรได้อีกมาก
จากนั้น ได้มีการพูดคุยกับนายกรัฐมนตรีฟิลิปปินส์ ซึ่งได้เชิญให้ตนในฐานะผู้นำไทยคนใหม่ไปเยือนฟิลิปปินส์ในไตรมาส 2 ของปีหน้า นอกจากนี้ยังได้พูดคุยกับนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ และสมเด็จรามาชาธิบดีของบูรไนด้วย ขณะที่ในวันนี้ ตนได้เข้าเฝ้ามกุฎราชกุมาร และนายกรัฐมนตรีแห่งซาอุดีอาระเบีย ซึ่งตนได้ฝากฝังแรงงานไทย 6,000 คนในซาอุฯ พร้อมขอบคุณที่ดูแลเป็นอย่างดี ขณะที่เจ้าชายฯ เห็นว่าควรทำสนธิสัญญาการค้าระหว่างไทยกับ GCC และได้กำหนดกรอบเวลาการเริ่มต้นในเดือน ม.ค. เพราะการค้าไทยกับGCC ยังพัฒนาไปได้อีกไกล ซึ่งนายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกฯ และ รมว.ต่างประเทศ กับ รมว.ต่างประเทศซาอุฯ มีการพูดคุยถึงแผนดำเนินการในอนาคต ซึ่งมีการพูดคุยเป็นมิตรภาพที่ดีต่อกัน
นายเศรษฐา เปิดเผยด้วยว่า ในวันพรุ่งนี้ (21 ต.ค.) ตนจะได้พบปะพูดคุยกับบริษัทยักษ์ใหญ่ “อารัมโก” บริษัทน้ำมันแห่งใหญ่ของซาอุดีอาระเบีย
นายกฯเข้าเฝ้าฯ มกุฎราชกุมาร และนายกรัฐมนตรีซาอุดีอาระเบีย ไทย-ซาอุดีฯ ยืนยันความตั้งใจมุ่งสานความสัมพันธ์ให้ใกล้ชิด
เวลา 12.45 น.ณ โรงแรม Ritz Carlton กรุงริยาด ซาอุดีอาระเบีย นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เข้าเฝ้าฯ เจ้าชายมุฮัมมัด บิน ซัลมาน บิน อับดุลอะซีซ อาล ซะอูด (His Royal Highness Prince Mohammed bin Salman bin Abdulaziz Al Saud) มกุฎราชกุมาร และนายกรัฐมนตรีซาอุดีอาระเบีย ในโอกาสการหารือทวิภาคี ระหว่างการเข้าร่วมการประชุม ASEAN – GCC Summit สรุปสาระสำคัญดังนี้
นายกรัฐมนตรีและมกุฎราชกุมาร และนายกรัฐมนตรีซาอุดีฯ ต่างยืนยันความตั้งใจร่วมกันในการส่งเสริมความสัมพันธ์และความร่วมมือของทั้งสองประเทศ โดยเฉพาะด้านการค้า การลงทุน การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การท่องเที่ยว รวมถึงพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนไทยและซาอุดีฯ ให้ใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวแสดงความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณในวิสัยทัศน์ของพระราชาธิบดี รวมถึงมกุฎราชกุมาร และนายกรัฐมนตรีซาอุดีฯ ที่ทรงวางรากฐาน นำไปสู่การฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างทั้งสองประเทศ โดยไทยยืนยันมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมความสัมพันธ์และความร่วมมือด้าน ต่าง ๆ ให้พัฒนายิ่งขึ้น เพื่อประโยชน์ที่เป็นรูปธรรมแก่ประชาชนไทยและซาอุดีฯ
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีและ มกุฎราชกุมารและนายกรัฐมนตรีซาอุดีฯ หารือประเด็นความร่วมมือดังนี้
ด้านความสัมพันธ์ ทั้งสองฝ่ายหารือถึงการดำเนินความสัมพันธ์ในช่วง 2 ปี ที่ผ่านมา โดยเฉพาะควรส่งเสริมการค้าและการลงทุนซึ่ง นายกฯ เสนอการจัดทำ Thai-GCC FTA รวมทั้งแสดงการสนับสนุนการเป็นเจ้าภาพ Expo 2030 จัดการแข่งขันฟุตบอลโลก 2034 ของซาอุดีอาระเบีย รวมถึงแนวทางความร่วมมือและประเด็นที่คั่งค้างในด้าน 1) การเมืองและการกงสุล 2) การลงทุน 3) ความมั่นคงและการทหาร 4) วัฒนธรรมและการท่องเที่ยว และ 5) เศรษฐกิจและการค้า โดยไทยพร้อมเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสภาความร่วมมือซาอุดี - ไทย (Saudi – Thai Coordination Council: STCC) ครั้งที่ 1 เพื่อทบทวนการดำเนินความสัมพันธ์ และกำหนดแนวทางความร่วมมือทั้ง 5 ด้าน
ด้านความมั่นคง ทั้งสองฝ่ายพร้อมส่งเสริมความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ซึ่งที่ผ่านมามีการแลกเปลี่ยนการเยือนระดับสูง เพื่อเข้าร่วมงานนิทรรศการด้านการป้องกันประเทศของทั้งสองฝ่ายแล้วในงาน Defense and Security ของไทย และงาน World Defense Show ของซาอุดีฯ ซึ่งทำให้ไทยและซาอุดีฯ มีโอกาสขยายความร่วมมือในด้านความมั่นคงมากยิ่งขึ้น ซึ่งไทยจะให้ศูนย์การอุตสาหกรรมป้องกันประเทศและพลังงานทหาร และสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ เร่งรัดความร่วมมือให้เป็นรูปธรรมต่อไป
ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีขอบคุณรัฐบาลซาอุดีอาระเบียที่ดูแลคนไทยกว่า 6,000 คน ที่อยู่ในซาอุดีอาระเบีย และแลกเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับสถานการณ์ความไม่สงบในอิสราเอล ซึ่งมีคนไทยเสียชีวิต บาดเจ็บ และถูกลักพาตัว ซึ่งซาอุดีอาระเบียรับที่จะดำเนินการอย่างเต็มที่ในการให้ความช่วยเหลือคนไทยที่ถูกจับกุมตัว
นายกฯ ร่วมประชุมครั้งประวัติศาสตร์อาเซียน-รัฐอ่าวอาหรับ (ASEAN-GCC) พร้อมผลักดันการค้าอย่างไร้รอยต่อ เจริญเติบโตอย่างยั่งยืน และกระชับความสัมพันธ์ประชาชนของสองภูมิภาค
นายกฯ ร่วมประชุมครั้งประวัติศาสตร์อาเซียน-รัฐอ่าวอาหรับ (ASEAN-GCC) พร้อมผลักดันการค้าอย่างไร้รอยต่อ เจริญเติบโตอย่างยั่งยืน และกระชับความสัมพันธ์ประชาชนของสองภูมิภาค
เวลา 10.45 น.ณ โรงแรม Ritz Carlton กรุงริยาด ซาอุดีอาระเบีย นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน-คณะมนตรีความร่วมมือรัฐอ่าวอาหรับ (ASEAN- Gulf Cooperation Council Riyadh Summit : GCC) ร่วมกับผู้นำชาติสมาชิกอาเซียนและคณะมนตรีความร่วมมือรัฐอ่าวอาหรับ (GCC) ได้แก่ ซาอุดีอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ บาห์เรน กาตาร์ คูเวต และโอมาน พร้อมกล่าวถ้อยแถลงภายใต้แนวคิด Innovative Partnership for Sustainable Future (ความเป็นหุ้นส่วนสร้างสรรค์เพื่ออนาคตที่ยั่งยืน) โดยนายสัตวแพทย์ชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสำคัญดังนี้
นายกรัฐมนตรีรู้สึกยินดีที่ได้มาร่วมกันประชุมในวันนี้ พร้อมกล่าวแสดงความซาบซึ้งต่อการต้อนรับของมกุฎราชกุมาร และนายกรัฐมนตรีแห่งซาอุดีอาระเบีย โดยการประชุมระหว่างอาเซียน-GCC ครั้งประวัติศาสตร์นี้ ไทยยืนยันเจตนารมณ์ และความมุ่งมั่นในการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองภูมิภาค
ทั้งสองภูมิภาคมีศักยภาพทางด้านเศรษฐกิจ โดยมี GDP รวมกันมากถึงเกือบ 6% ของ GDP โลก ซี่งไทยมองว่ากรอบความร่วมมืออาเซียน-GCC ที่ทุกฝ่ายจะร่วมกันรับรองในวันนี้ จะช่วยเสริมสร้างศักยภาพความร่วมมือระหว่างสองภูมิภาค
อย่างไรก็ดี ทั้งสองภูมิภาคล้วนเผชิญกับความท้าทายร่วมกันในเรื่องความมั่นคงของมนุษย์ อาหาร พลังงาน สุขภาพ และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมถึงประเด็นที่ผู้นำทุกคนกังวลคือฉนวนกาซ่าและพื้นที่โดยรอบ
อาเซียนและ GCC ได้ร่วมกันพัฒนาวิสัยทัศน์ที่ยั่งยืน พร้อมรับมือกับอนาคต และมีประชาชนเป็นศูนย์กลาง จะร่วมต่อสู่กับความท้าทายต่างๆ ซึ่งเชื่อว่าจะบรรลุวัตถุประสงค์ร่วมกันได้ ภายใต้แนวทางหุ้นส่วนสร้างสรรค์เพื่ออนาคตที่ยั่งยืน (Innovative Partnership for Sustainable Future) ในโอกาสนี้นายกรัฐมนตรีได้เสนอ 3 ประเด็นความร่วมมือ ดังนี้
ประเด็นแรก ไทยพร้อมส่งเสริมการค้าและการลงทุนอย่างไร้รอยต่อ ผ่านการลดอุปสรรคทางการค้าและการลงทุนระหว่างกัน พร้อมผลักดันการจัดตั้ง ASEAN-GCC Business Forum เพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาคธุรกิจของทั้งสองภูมิภาค โดยไทยพร้อมเจรจาเพื่อจัดทำความตกลงทางการค้าเสรีระหว่างไทย-GCC (Thai-GCC FTA) เพื่อจะเพิ่มมูลค่าทางการค้าระหว่างกันไปถึง 4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ พร้อมกันนี้ ในฐานะครัวโลก (Kitchen of the World) ไทยพร้อมที่จะแบ่งปันประสบการณ์ในด้านการเกษตรกรรมและนวัตกรรมทางด้านอาหาร เพื่อเตรียมพร้อมต่อความท้าทายในด้านความมั่นคงทางอาหาร รวมทั้งยินดีร่วมมือกับ GCC ในเรื่องวิทยาศาสตร์และมาตรฐานในการผลิตอาหารฮาลาลด้วย
ประการที่สอง ประเทศไทยพร้อมส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืนและ การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน ด้วยเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ทั้งนี้ ไทยยังพร้อมส่งเสริมกลไกการเงินสีเขียวและยั่งยืน ผ่านการออกพันธบัตรสีเขียวที่ยั่งยืน ซึ่งประเทศไทยยินดีหากสมาชิก GCC จะเข้ามามีส่วนร่วมเพื่อมุ่งสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (SDGs) ร่วมกัน
นอกจากนี้ ประเทศไทยยังเสนอความร่วมมือระหว่างชาติสมาชิก GCC และ ASEAN Centre for Sustainable Development Studies and Dialogue (ACSDSD) ซึ่งตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ ผ่านการแลกเปลี่ยนแนวปฏิบัติและประสบการณ์ร่วมกัน โดยเฉพาะการใช้พลังงานให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด การใช้พลังงานสะอาด รวมทั้งการส่งเสริมให้เกิดสภาวะแวดล้อมในการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า
ประการสุดท้าย เพื่อกระชับความร่วมมือและความสัมพันธ์ในระดับประชาชน ไทยรวมถึงอาเซียน พร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวจากชาติสมาชิก GCC สู่ภูมิภาคอาเซียน สำหรับประเทศไทย ไทยวางเป้าหมายให้มีนักท่องเที่ยวจากชาติสมาชิก GCC ให้เพิ่มขึ้น 2 เท่า จากเกือบ 300,000 คน ภายใน 2 ปีข้างหน้า ซึ่งไทยมีความเชี่ยวชาญด้านการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Health and Wellness tourism) คนไทยจำนวนมากสามารถพูดอารบิคได้ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการดูแลสุขภาพของประเทศกลุ่ม GCC และพร้อมแลกเปลี่ยนประสบการณ์และความเชี่ยวชาญ โดยเฉพาะการจัดการทางการแพทย์ การจัดการทางด้านการท่องเที่ยว และการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ
นายกรัฐมนตรียังใช้โอกาสนี้ เรียกร้องให้ ASEAN-GCC สร้างขึ้นบนความปรารถนาร่วมกันเพื่อสันติภาพ เสถียรภาพ และความเจริญรุ่งเรือง ประเทศไทยเสียใจกับความรุนแรงที่เกิดขึ้นส่งผลให้เกิดความสูญเสีย และมีผู้เสียชีวิตซึ่งรวมถึงคนไทยถึง 30 คน ซึ่งเรียกร้องให้ทุกผ่ายร่วมกันยุติความรุนแรง แก้ไขปัญหาด้วยสันติวิธีโดยใช้การเจรจาต่อรอง การทูต ภายใต้พื้นฐานของการแก้ปัญหาระหว่างสองประเทศ
นายกฯ เรียกร้องให้ทุกฝ่ายยุติการใช้ความรุนแรงในตะวันออกกลาง และปล่อยตัวประกันทันทีโดยไม่มีเงื่อนไข
ในช่วงท้าย นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ผลของการประชุมครั้งนี้ ต้องยั่งยืนผ่านความร่วมมืออย่างสม่ำเสมอ และมีการติดตามผลการหารืออย่างเป็นรูปธรรม