In News
มท.ยกระดับจัดระเบียบสังคม-ผู้มีอิทธิพล ระดมผู้ว่าฯ-นายอำเภอทั่วปท.คิกออฟ
กรุงเทพฯ-ปลัดมหาดไทย เผยผู้ว่าฯ - นายอำเภอ ทั่วประเทศ บูรณาการภาคีเครือข่าย Kick off ขับเคลื่อน “ชุดปฏิบัติการพิเศษฝ่ายปกครองจังหวัด/อำเภอ” ยกระดับความเข้มข้น จัดระเบียบสังคม ปราบปรามการกระทำผิดทุกรูปแบบตามนโยบายปราบปรามผู้มีอิทธิพลของรัฐบาลและกระทรวงมหาดไทย
เมื่อ1 พ.ย. 66 นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยถึงแนวนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ภายใต้การนำของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และกระทรวงมหาดไทย ภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ที่มุ่งจัดระเบียบสังคมและปราบปรามผู้มีอิทธิพล เสริมสร้างสวัสดิภาพความปลอดภัย รักษาความสงบเรียบร้อย ความมั่นคงภายใน รวมทั้งสนับสนุนการพัฒนาและแก้ไขปัญหาภัยคุกคามเพื่อช่วยเหลือประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพในทุกพื้นที่ของประเทศ โดย นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้เน้นย้ำกำชับให้ข้าราชการกระทรวงมหาดไทย ทั้งราชการบริหารส่วนกลาง ทั้งผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย และอธิบดี ได้ร่วมกับราชการบริหารส่วนภูมิภาค ภายใต้การนำของผู้ว่าราชการจังหวัด ขับเคลื่อนการป้องกันและปราบปรามผู้มีอิทธิพล ผู้ลักลอบครอบครองอาวุธปืน ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับยาเสพติด การลักลอบให้บริการสถานบริการ สถานประกอบการที่มีลักษณะคล้ายกับสถานบริการ การพนัน การค้ามนุษย์ อาชญากรรม ปัญหาการกระทำผิดทางเพศ ปัญหาสังคม และปัญหาอื่น ๆ อีกมากมาย สิ่งผิดกฎหมายทุกประเภท เพื่อแก้ไขปัญหาของประชาชนในทุกพื้นที่โดยเร่งด่วนอย่างรวดเร็ว ซึ่งได้สั่งการให้กรมการปกครองได้ร่วมกับทุกจังหวัด/อำเภอ จัดตั้ง “ชุดปฏิบัติการพิเศษฝ่ายปกครอง” และ “ศูนย์ปฏิบัติการร่วมกับศูนย์ดำรงธรรมจังหวัด” เพื่อเป็นกลไกในการบูรณาการการดำเนินการควบคู่กับการติดตามและรายงานผล นำนโยบายไปสู่การปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ
“ในวันนี้ ทุกจังหวัดและทุกอำเภอทั่วประเทศ ได้ทำพิธีปล่อยแถวเปิดปฏิบัติการ (Kick off) จัดตั้ง “ชุดปฏิบัติการพิเศษฝ่ายปกครอง” และ “ศูนย์ปฏิบัติการร่วมกับศูนย์ดำรงธรรมจังหวัด” ตามนโยบายจัดระเบียบสังคมและปราบปรามผู้มีอิทธิพลของรัฐบาลและกระทรวงมหาดไทย ครบทั้ง 76 จังหวัด และ 878 อำเภอ โดยมี ผู้ว่าราชการจังหวัด รองผู้ว่าราชการจังหวัด ปลัดจังหวัด หัวหน้าส่วนราชการ นายอำเภอ ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง ทหาร ตำรวจ อาสาสมัครภาคพลเรือน และภาคีเครือข่าย 7 ภาคี ทั้งภาคราชการ ภาคผู้นำศาสนา ภาควิชาการ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม ภาคประชาชน และภาคสื่อสารมวลชน ร่วมปฏิบัติการ” นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าว
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวต่ออีกว่า ทั้งนี้ นับตั้งแต่รัฐบาลภายใต้การนำของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้เข้ามาบริหารประเทศ และนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้มอบนโยบายเดินหน้าขับเคลื่อนเพื่อความมั่นคงภายในและความปลอดภัยในทุกพื้นที่ของประเทศ รวมทั้งสนับสนุนการพัฒนาและแก้ไขปัญหาภัยคุกคามเพื่อช่วยเหลือประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพ โดยกระทรวงมหาดไทยได้มอบหมายให้กรมการปกครองบูรณาการงานร่วมกับหน่วยงานภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน ดำเนินงานด้านการรักษาความมั่นคงและความสงบเรียบร้อยภายใน ตามนโยบายลดอบายมุข สร้างสุขให้สังคม ออกลงพื้นที่ตรวจตราสถานบริการ สถานประกอบการที่มีลักษณะคล้ายสถานบริการ และสถานที่อื่น ๆ เช่น ร้านเกม สถานที่จัดให้มีการเล่นการพนัน ร้านอินเทอร์เน็ต ฯลฯ เพื่อสนองนโยบายของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย โดยตั้งแต่เดือนกันยายน - ตุลาคม 2566 ทุกจังหวัดทั่วประเทศได้ทำการตรวจตราสถานที่ต่าง ๆ แล้วรวมทั้งสิ้น 7,445 แห่ง แบ่งออกเป็น การตรวจสอบสถานบริการ จำนวน 670 แห่ง สถานประกอบการที่มีลักษณะคล้ายสถานบริการ จำนวน 4,874 แหล่ง และแหล่งอบายมุขอื่น ๆ จำนวน 1,901 แหล่ง
นอกจากนี้ในช่วงตลอดทั้งวัน (1 พ.ย. 66) มีหลายจังหวัดได้นำกำลังชุดปฏิบัติการพิเศษฝ่ายปกครองออกตรวจตราสถานที่ต่าง ๆ เช่น ที่อำเภอเมืองชุมพร จังหวัดชุมพร นายวิสาห์ พูลศิริรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร สั่งการให้ชุดปฏิบัติการพิเศษจังหวัดชุมพร นำโดยนายธนนท์ พรรพีภาส ปลัดจังหวัดชุมพร พร้อมด้วยชุดปฏิบัติการพิเศษอำเภอเมืองชุมพร นำกำลังเข้าจับกุมผู้ลักลอบดัดแปลงปืนแบลงก์กันให้สามารถยิงกระสุนปืนจริงในพื้นที่ โดยร่วมกันจับกุมผู้ต้องหา จำนวน 3 ราย โดยมีข้อกล่าวหาว่ากระทำความผิดตามกฎหมายว่าด้วยอาวุธปืน คือ ทำและมีซึ่งอาวุธปืนหรือเครื่องกระสุนปืนโดยไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนท้องที่ พร้อมของกลางอาวุธปืนแบลงค์กัน 6 กระบอก ซองกระสุน 3 ซอง ลูกกระสุนปืน 3 นัด และแท่งเครื่องประกอบดัดแปลงอาวุธปืนแบลงค์กัน และยังพบว่ามีความผิดตามกฎหมายยาเสพติด ในข้อหาเสพยาเสพติดให้โทษประเภท 1 จำนวน 2 คน ก่อนที่จะนำผู้ต้องหาพร้อมของกลางส่งพนักงานสอบสวน เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป รวมถึงที่อำเภอสระโบสถ์ จังหวัดลพบุรี นายกองตรี ดร.ภาณุพงศ์ ศิริ นายอำเภอสระโบสถ์ ในฐานะประธานการปราบปรามผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ สั่งการให้ "ชุดปฏิบัติการพิเศษ อ.สระโบสถ์" เปิดปฏิบัติการฟ้าสางสระโบสถ์ร่มเย็น โดยบูรณาการร่วมกับตำรวจภูธรสระโบสถ์ ลงพื้นที่จับกุมปราบปรามสิ่งผิดกฎหมาย (Kick off) ตามนโยบายการจัดระเบียบสังคมและปราบปรามผู้มีอิทธิพล
โดยสามารถจับจับกุมผู้ต้องหา 1 ราย อายุ 41 ปี พร้อมของกลางอาวุธปืนชนิดทำขึ้นเอง (ปืนแก๊ปยาว) พร้อมด้วยสายสะพาย จำนวน 1 กระบอก และลูกกระสุนปืนลูกซองปลอกสีแดง ขนาดเบอร์ 12 จำนวน 3 นัด โดยได้ทำการแจ้งข้อกล่าวหามีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนท้องที่ และเสพยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีน) นำผู้ต้องหาพร้อมของกลางส่งพนักงานสอบสวน สภ.สระโบสถ์ เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป และที่อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ พร้อมฝ่ายปกครองจังหวัดเชียงใหม่ บูรณาการร่วมกับนายรณรงค์ ทิพย์ศิริ ผู้ตรวจราชการกรมการปกครอง ปฏิบัติหน้าที่ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการบังคับใช้กฎหมายพนักงานฝ่ายปกครอง สำนักการสอบสวนและนิติการ กรมการปกครอง นำกำลังชุดปฏิบัติการพิเศษกรมการปกครอง สมาชิกกองอาสารักษาดินแดน กองบัญชาการกองอาสารักษาดินแดน กว่า 30 นาย เข้าจับกุมสถานบริการเถื่อน “เลอ เนิร์ฟ ผับ” ย่านช้างเผือก แจ้งข้อกล่าวหาแก่ผู้ดูแลร้าน 7 ฐานความผิด ซึ่งเจ้าพนักงานฝ่ายปกครองชุดจับกุมได้นำเสนอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ออกคำสั่งปิดสถานที่ดังกล่าวเป็นเวลา 5 ปี และระงับการใช้อาคารดังกล่าวต่อไป
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวในช่วงท้ายว่า กระทรวงมหาดไทยมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนภารกิจเพื่อเสริมสร้างความสงบเรียบร้อยให้กับสังคมไทย เพื่อให้เกิดสวัสดิภาพ ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชนตามอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายกำหนดอย่างเคร่งครัด ทุกปัญหาภัยคุกคามที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของพี่น้องประชาชนจะต้องไม่เกิดขึ้นอีก จึงขอให้ชุดปฏิบัติการพิเศษฝ่ายปกครองทุกจังหวัด/อำเภอ มุ่งมั่นดำเนินการอย่างเข้มข้นตามความมุ่งมั่นตั้งใจ เพื่อสังคมไทยเป็นสังคมที่น่าอยู่ ประชาชนและนักท่องเที่ยวไม่ต้องหวาดระแวงกับภยันอันตราย และสามารถใช้ชีวิตได้อย่างเป็นปกติสุข ทั้งนี้ หากพี่น้องประชาชนมีเบาะแสการกระทำความผิดหรือเหตุสร้างความเดือดร้อนรำคาญ ขอให้ได้แจ้งมายังสายด่วนศูนย์ดำรงธรรม โทร. 1567 ตลอด 24 ชั่วโมง