In News
ลูกคาใจ!แม่ติดโควิดนอนรพ.คืนเดียวดับ
นครปฐม-ลูกหลาน สงสัยแม่นอนรักษาตัว รพ.นครปฐมวันเดียว เช้ามาเสียชีวิต ใบมรณะบัตรไม่แจ้ง สอบถามเจ้าหน้าที่บอกมีเชื้อโควิด-19 สั่งดำเนินการเผารวบรัด เผยก่อนมารักษาตัวไม่พบเชื้อแล้วติดจากไหน หลวงพี่น้ำฝนเข้มมาตรการสั่งระบบพ่นไอฆ่าเชื้อเข้มบนเมรุ พร้อมย้ำญาติโยม อย่าการ์ดตกเด็ดขาด
วันนี้ 19 เมษายน 64 ที่ศาลาชีวะศิริ ฌาปนสถาน วัดไผ่ล้อม ต.พระปฐมเจดีย์ อ.เมือง จ.นครปฐม เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลนครปฐม ได้นำร่างของนางประนอม สังข์ทอง อายุ 80 ปี ชาวอำเภอสามพราน ซึ่งเสียชีวิตเมื่อวันที่ 17 เมษายน ที่บรรจุในโลงศพที่มีการห่อหุ้มแบบมิดชิดโดยยังมีการฆ่าเชื้อทุกกระบวนการก่อนขึ้นเตาเผา โดยมีลูกหลานและญาติราว 10 คนเดินทางมาร่วมส่งวิญญาณเป็นครั้งสุดท้าย ซึ่งพระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม เป็นประธานในการจัดประชุมเพลิงแบบรวบรัดด้วยมาตรการการป้องกันการติดเชื้อและแพร่กระจายของไวรัสโควิด-19 ขั้นสูงสุด เนื่องจากเป็นช่วงที่มีการแพร่ระบาดอย่างหนักในรอบที่ 3
โดยช่วงก่อนการทำพิธีฌาปนกิจ นางประนอม หลวงพี่น้ำฝน ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ของวัดไผ่ล้อม ได้ทำการเร่งฉีดยาฆ่าเชื้อในทุกจุดรวมถึงนำเครื่องพ่นไอหมอกควันสำหรับฆ่าเชื้อแบบละเอียดติดตั้งบริเวณหน้าเมรุทางขึ้นสู่เตาเผา พร้อมตั้งจุดคัดกรองให้ญาติและเจ้าหน้าที่ที่จะเข้ามาร่วมในพิธีแบบละเอียดก่อนจะเข้าสู่พื้นที่ และได้นำสู่กระบวนการสวดบังสุกุลและทอดผ้า ก่อนทำการเผาทันที ใช้เวลาประมาณ 30 นาที จึงเสร็จสิ้นพิธี
นางอภิญญา จงประเสริฐ อายุ 43 ปี ญาติของนางประนอม บอกว่า ตอนนี้ทุกคนในบ้านงงมาก เนื่องจาก นางประนอมเป็นผู้ป่วยติดเตียงและป่วยมานานโดยมีโรคประจำตัวคือเบาหวานและความดัน ซึ่งช่วงล่าสุดของการเข้ามารับการรักษาเมื่อวันที่ 16 เมษายน โดยมีอาการอาเจียนเป็นเลือด และติดเชื้อในกระแสเลือด ซึ่งช่วงเข้านอนที่มาถึงโรงพยาบาลนครปฐม ก็ได้ตรวจหาเชื้อไวรัสโควิด-19 ซึ่งมีผลออกมาก้ำกึ่ง และได้ทำการตรวจรอบที่ 2 ผลเป็นลบ ซึ่งตนเองไม่ได้ให้เข้าเยี่ยมเนื่องจากโรงพยาบาลมีมาตรการเรื่องป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 แต่เมื่อเช้าวันที่ 17 เมษายน ทางโรงพยาบาลได้แจ้งไปว่า นางประนอมได้เสียชีวิตแล้วและขอให้รีบนำศพไปดำเนินการเผาทันที เพราะตรวจผลรอบที่ 3 พบว่ามีผลเป็นเชิงบวก ตนเองและญาติทุกคนก็งงว่า มารดาเสียชีวิตและมีเชื้อโควิด-19 ได้อย่างไร เพราะเป็นผู้ป่วยติดเตียงอยู่แต่ที่บ้าน พอเสียชีวิตและมีการพบเชื้อ ซึ่งได้รีบขับรถขึ้นมาจากภาคใต้ โดยได้แจ้งว่าจะมาดำเนินการรับศพทันทีไม่ได้เพราะต้องเตรียมตัวและมีด่านตรวจสอบมาตลอดทาง
นางอภิญญา บอกอีกว่า เมื่อมาถึงก็ได้ดูเอกสารใบมรณบัตร ได้ระบุว่า นางประนอมเสียชีวิตด้วยอาการเลือดออกทางเดินหายใจส่วนต้น ไม่ได้ระบุว่ามีการติดเชื้อจากไวรัสโควิด-19 จึงได้แจ้งเจ้าหน้าที่ไปว่าเมื่อไม่มีการติดเชื้อก็ขอนำศพกลับไปที่ อำเภอสามพราน เพื่อสวดพระอภิธรรมสัก 2-3 คืนและให้ลูกหลานทำใจก่อนเนื่องจาก นางประนอมนั้นเสียชีวิตแบบกะทันหันโดยก่อนมาโรงพยาบาลก็มีอาการดี ลูกหลานยังกอดหอมแก้มได้เช็ดตัวให้แบบใกล้ชิดทุกวัน แต่เจ้าหน้าที่บอกว่าศพติดเชื้อไม่สามารถนำกลับไปได้และทุกคนทั้ง 4 คนที่ใกล้ชิดก็ได้ตรวจหาผล ปรากฏว่าผลเป็นลบและยังต้องหาพิธีที่วัดไผ่ล้อม ซึ่งทางโรงพยาบาลจัดเตรียมไว้ให้เท่านั้น ซึ่งตนเองคิดว่า นางประนอมต้องติดเชื้อมาจากที่โรงพยาบาลนครปฐม เนื่องจากทุกคนที่ใกล้ชิดไม่มีใครติดเชื้อ และทุกคนยังเสียใจกับการเสียชีวิตแต่ก็ยังงงและอยากทราบว่า นางประนอมติดเชื้อหรือไม่และติดมาจากที่ใดเพื่อความชัดเจนของการป้องกันการแพร่ระบาด
ด้านนางสาวอรสา มีกล่ำ อายุ 28 ปี หลานสาว บอกว่า ตนเองเป็นคนที่ดูแล นางประนอม มาตลอดที่ผ่านมาโดย ก่อนหน้าเมื่อเดือน มกราคม 64 ได้เข้าสมารับการผ่าตัดหัวเข่าแต่เกิดการติดเชื้อในกระแสเลือดจึงได้นอนรักษาตัว 45 วันจนกกระทั่งกลับมาพักที่บ้านพักได้ จากนั้นเมื่อวันที่ 7 เมษายน ได้เข้ามานอนรักษาตัวอีกรอบและกลับไปวันที่ 8 เมษายน และนอนพักที่บ้าน ซึ่งตนเองเป็นคนดูแลใกล้ชิดมาตลอด ล่าสุดเมื่อวันที่ 16 เมษายน ได้มีอาการอาเจียนเป็นเลือด ซึ่งได้นำมาที่โรงพยาบาลนครปฐม และนอนรอเข้ารับการตรวจที่ห้องฉุกเฉินประมาณ 5 ชั่วโมงก่อนจะส่งเข้าไปนอนพักและมาเสียชีวิตในช่วงเช้า ซึ่งตนเองก็ตรวจหาเชื้อแล้วไม่พบ โดยยังสับสนว่าเชื้อมาจากที่ไหน
พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม เผยว่า กรณีนี้ก็เป็นผู้ป่วยที่รับแจ้งมาว่ามีการติดเชื้อและได้รับการประสานงานจากโรงพยาบาลนครปฐม ซึ่งได้จัดให้มีการเตรียมความพร้อมที่เข้มข้นขึ้นอีกระดับ เพราะการแพร่ระบาดรอบนี้มากกว่า 2 รอบก่อน ซึ่งตอนนี้ก็เหมือนเดิมพระไม่ได้อยากจะเผาคนตาย ยิ่งเพราะด้วยโควิด-19 ที่กำลังระบาดหนักก็ต้องดำเนินการกันไปให้ดีที่สุดแต่มาตรการของวัดไผ่ล้อมก็เป็นที่ยอมรับกันว่าเข้มข้นอยู่แล้ว
หลวงพี่น้ำฝน กล่าวว่า เรื่องที่อยากจะเน้นย้ำไว้กับญาติโยมคือ ตอนนี้ต้องยกการ์ดสูงไว้ สิ่งที่ดีคือการกันไว้ดีกว่าแก้ เพราะแย่แล้วแก้ไม่ทัน นี่คือสิ่งที่ต้องตระหนักกันเอาไว้สำหรับช่วงนี้ ซึ่งการสวมหน้ากากอนามัยสำคัญมากเพราะโยมจะไม่รู้เลยว่าข้างนอกนั้นมีเชื้ออะไรบ้างการป้องกันตัวเองไม่ให้ติดเชื้อและการป้องกันตัวเองไม่ให้แพร่เชื้อจึงเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดในช่วงนี้