In News

รัฐฯปลื้ม!แก้หนี้นอกระบบเห็นผลชัดเจน ลงทะเบียน21วันนับแสนคนแก้ได้224คน



กรุงเทพฯ-โฆษกรัฐบาลเผย รัฐบาลเดินหน้าแก้หนี้นอกระบบเห็นผลเป็นรูปธรรมชัดเจน มท.ระบุยอดลงทะเบียนหนี้นอกระบบ 21 วัน เจ้าหนี้-ลูกหนี้ไกล่เกลี่ยสำเร็จแล้ว 224 ราย มูลหนี้ลดลงร่วม 90 ล้านบาท ย้ำประชาชนลงทะเบียนแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบได้ถึง 31 มี.ค.67

วันที่ 22 ธันวาคม 2566 นายสัตวแพทย์ชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า จากการที่รัฐบาลนำโดยนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้เดินหน้าแก้ปัญหาหนี้ทั้งระบบอย่างจริงจัง ทั้งหนี้ในระบบและหนี้นอกระบบ และประกาศให้เป็นวาระแห่งชาติ ขณะนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เร่งดำเนินการขับเคลื่อนปฏิบัติการแก้ปัญหาหนี้ให้กับประชาชนเห็นผลสัมฤทธิ์เป็นรูปธรรมชัดเจนในหลายส่วนแล้ว 

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ล่าสุดในส่วนของการแก้หนี้นอกระบบ รายงานจากกระทรวงมหาดไทย (มท.) ระบุพบว่า การลงทะเบียนแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ ซึ่งเปิดให้ประชาชนได้ลงทะเบียนตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2566 จนถึงวันที่ 21 ธันวาคม 2566 นั้น นับเป็น 21 วันตั้งแต่เปิดลงทะเบียน จากข้อมูลของสำนักการสอบสวนและนิติการ กรมการปกครอง เมื่อเวลา 15.30 น. (21 ธ.ค. 66) มีมูลหนี้รวม 6,576.779 ล้านบาท ประชาชนลงทะเบียนแล้ว 105,482 ราย โดยเป็นการลงทะเบียนผ่านระบบออนไลน์ 92,235 ราย และการลงทะเบียน ณ ศูนย์อำนวยการแก้ไขหนี้นอกระบบ 13,247 ราย รวมจำนวนเจ้าหนี้ 76,223 ราย โดยมีพื้นที่/จังหวัดที่มีผู้ลงทะเบียนมากที่สุด 5 ลำดับแรก คือ 1) กรุงเทพมหานคร ยังคงมากที่สุด มีผู้ลงทะเบียน 6,649 ราย เจ้าหนี้ 5,692 ราย มูลหนี้ 562.401 ล้านบาท 2) จ.นครศรีธรรมราช มีผู้ลงทะเบียน 4,506 ราย เจ้าหนี้ 3,722 ราย มูลหนี้ 278.536 ล้านบาท 3) จ.สงขลา มีผู้ลงทะเบียน 4,164 ราย เจ้าหนี้ 2,975 ราย มูลหนี้ 259.213 ล้านบาท 4) จ.นครราชสีมา มีผู้ลงทะเบียน 4,065 ราย เจ้าหนี้ 2,596 ราย มูลหนี้ 311.691 ล้านบาท 5) จ.ขอนแก่น มีผู้ลงทะเบียน 2,764 ราย เจ้าหนี้ 2,245 ราย มูลหนี้ 205.655 ล้านบาท 

ทั้งนี้ จังหวัดที่มีผู้ลงทะเบียนน้อยที่สุด 5 ลำดับแรก ได้แก่ 1) จ.แม่ฮ่องสอน มีผู้ลงทะเบียน 144 ราย เจ้าหนี้ 113 ราย มูลหนี้ 6.576 ล้านบาท 2) จ.ระนอง มีผู้ลงทะเบียน 221 ราย เจ้าหนี้ 138 ราย มูลหนี้ 15.658 ล้านบาท 3) จ.สมุทรสงคราม มีผู้ลงทะเบียน 281 ราย เจ้าหนี้ 201 ราย มูลหนี้ 9.219 ล้านบาท 4) จ.ตราด มีผู้ลงทะเบียน 350 ราย เจ้าหนี้ 226 ราย มูลหนี้ 12.400 ล้านบาท และ 5) จ.สิงห์บุรี มีผู้ลงทะเบียน 382 ราย เจ้าหนี้ 248 ราย มูลหนี้ 14.437 ล้านบาท

สำหรับข้อมูลการไกล่เกลี่ยหนี้นอกระบบทั่วประเทศ พบว่ามีลูกหนี้เข้าสู่กระบวนการไกล่เกลี่ยแล้ว 1,294 ราย ไกลเกลี่ยสำเร็จ 224 ราย มูลหนี้ของลูกหนี้ก่อนไกล่เกลี่ย 133.548 ล้านบาท หลังการไกล่เกลี่ย 44.044 ล้านบาท มูลหนี้ลดลง 89.503 ล้านบาท ซึ่งมีจังหวัดที่สามารถนำลูกหนี้เข้าสู่กระบวนการไกล่เกลี่ยได้มากที่สุด คือ จ.นครสวรรค์ โดยมีลูกหนี้ที่เข้าสู่กระบวนการไกล่เกลี่ย 185 ราย ไกล่เกลี่ยสำเร็จ 16 ราย มูลหนี้ของลูกหนี้ก่อนไกล่เกลี่ย 14.394 ล้านบาท หลังการไกล่เกลี่ย 5.7 แสนบาท ทำให้มูลหนี้ของพี่น้องประชาชนในจังหวัด ลดลงมากถึง 13.824 ล้าน

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีย้ำว่า ขณะนี้รัฐบาลโดยกระทรวงมหาดไทย ยังคงเปิดรับลงทะเบียนประชาชนผู้ได้รับความเดือดร้อนจากปัญหาหนี้นอกระบบ ทั้งทางออนไลน์ที่ https://debt.dopa.go.th หรือวอล์คอินได้ ณ ที่ว่าการอำเภอ หรือสำนักงานเขตทั่วประเทศ โดยสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนศูนย์ดำรงธรรม โทร. 1567 ตลอด 24 ชั่วโมง หรือกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้นำชุมชนในพื้นที่ พร้อมประชาสัมพันธ์เชิญชวนประชาชนลงทะเบียนอย่างต่อเนื่องถึงวันที่ 31 มีนาคม 2567 ซึ่งกระทรวงมหาดไทยได้มีการดำเนินการควบคู่กับการประสานบูรณาการการปฏิบัติกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในระดับพื้นที่ เพื่อเข้าสู่ขั้นตอนการเจรจาไกล่เกลี่ยหนี้ โดยจะเชิญเจ้าหนี้นอกระบบมาพูดคุยเพื่อพิสูจน์ความจริง และดำเนินการเข้าสู่ขั้นตอนของการไกล่เกลี่ย เพื่อเป็นการยุติหนี้นอกระบบที่มีการเก็บดอกเบี้ยสูงเกินกว่ากฎหมายกำหนด ซึ่งเป็นวังวนของความทุกข์ยากของประชาชนที่เข้าไปในวงจรดังกล่าว

“การขับเคลื่อนการแก้ปัญหาหนี้ของรัฐบาลอย่างจริงจังครั้งนี้ เป็นการดำเนินการที่มุ่งให้เกิดผลสัมฤทธิ์เป็นรูปธรรมที่ชัดเจน เพื่อทำให้ประชาชนที่เข้าไปอยู่ในวังวนของการเป็นหนี้ดังกล่าวสามารถฟื้นฟูสภาพความเป็นอยู่ให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น คืนศักดิ์ศรี คืนความหวังและสร้างความมั่นคงให้กับประชาชนคนไทยทุกคน รวมทั้งยังจะสามารถฟื้นฟูเศรษฐกิจ สร้างความเข้มแข็งตั้งแต่ระดับครัวเรือนจนขึ้นไปถึงระดับมหภาค ยกระดับความเป็นอยู่ ทำให้ไม่กลับไปมีหนี้ล้นพ้นตัวอีก ซึ่งเป็นไปตามเจตนารมณ์และนโยบายของรัฐบาลและนายกรัฐมนตรี” โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าว