In News
Easy E-Receiptเริ่มใช้1ม.ค.-15ก.พ.67 รัฐฯหวังกระตุ้นเศรษฐกิจกับผู้ต้องเสียภาษี
กรุงเทพฯ-รองโฆษกฯ รัดเกล้าฯ เผย มาตรการ “Easy E-Receipt” หวังกระตุ้นการบริโภคในประเทศในช่วงต้นปี 2567 เพิ่มแรงส่งเศรษฐกิจภาพรวมให้ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง คาดสร้างเม็ดเงินในกว่า 7 หมื่นล้านบาท เริ่มช็อป 1 ม.ค. จนถึง 15 ก.พ. 67
วันที่ 23 ธันวาคม 2566 นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า มาตรการ “Easy E-Receipt” เพื่อเป็นการสนับสนุนผู้ประกอบการที่อยู่ในระบบภาษีให้ใช้ระบบภาษีอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงส่งเสริมการผลิตสินค้าท้องถิ่นและการอ่าน ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการเข้าสู่ระบบภาษี การใช้ระบบภาษีอิเล็กทรอนิกส์ และสนับสนุนการบริโภคในประเทศในช่วงต้นปี 2567
รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า มาตรการดังกล่าว เพื่อให้ผู้มีเงินได้ ซึ่ง1 มกราคม 2567 - วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2567มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ไม่รวมถึงห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล หักลดหย่อนค่าซื้อสินค้าหรือค่าบริการในราชอาณาจักร ตั้งแต่วันที่ ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 50,000 บาท เฉพาะที่ได้รับ e-Tax Invoice หรือ e-Receipt เท่านั้น
โดยให้ผู้ซื้อสินค้าสังเกตร้านค้าที่มีสัญลักษณ์ Easy E-Receipt ควบคู่กับ e-Tax Invoice & e-Receipt ซึ่งมีหลักเกณฑ์ และเงื่อนไข ดังนี้
1. กรณีซื้อสินค้าหรือรับบริการจากผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม จะต้องมีใบกำกับภาษีแบบเต็มรูปตามมาตรา 86/4 แห่งประมวลรัษฎากรในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice) พร้อมต้องระบุเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากร (เลขประจำตัวประชาชน) ของผู้ซื้อสินค้าหรือผู้รับบริการด้วย โดยค่าซื้อสินค้าหรือค่าบริการที่จะได้รับสิทธิฯ ไม่รวมถึง (1) ค่าซื้อสุรา เบียร์ และไวน์ (2) ค่าซื้อยาสูบ (3) ค่าซื้อรถยนต์ รถจักรยานยนต์ และเรือ (4) ค่าน้ำมันและก๊าซสำหรับเติมยานพาหนะ (5) ค่าสาธารณูปโภค ค่าน้ำประปา ค่าไฟฟ้า ค่าบริการสัญญาณโทรศัพท์ และค่าบริการสัญญาณอินเทอร์เน็ต (6) ค่าบริการที่มีข้อตกลงการให้บริการและผู้รับบริการสามารถใช้บริการดังกล่าวนอกเหนือจากระยะเวลาตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 ถึงวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2567 และ (7) ค่าเบี้ยประกันวินาศภัย
2. กรณีการซื้อสินค้าหรือการรับบริการจากผู้ขายสินค้าหรือผู้ให้บริการที่ไม่เป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม จะต้องมีใบรับตามมาตรา 105 แห่งประมวลรัษฎากรในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Receipt) พร้อมต้องระบุชื่อ นามสกุล และเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากร (เลขประจำตัวประชาชน) ของผู้ซื้อสินค้าหรือผู้รับบริการด้วย เฉพาะค่าซื้อสินค้าหรือค่าบริการดังต่อไปนี้ (1) ค่าซื้อหนังสือ หนังสือพิมพ์ และนิตยสาร (2) ค่าบริการหนังสือ หนังสือพิมพ์ และนิตยสารที่อยู่ในรูปของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ผ่านระบบอินเทอร์เน็ต และ (3) ค่าซื้อสินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) ซึ่งได้ลงทะเบียนกับกรมการพัฒนาชุมชนแล้ว
“รัฐบาลเดินหน้ากระตุ้นเศรษฐกิจ โดยมาตรการ Easy E-Receipt ถือว่าอยู่ในช่วงเวลาที่เหมาะสม เนื่องจากครอบคลุมตั้งแต่เทศกาลปีใหม่ไปจนถึงตรุษจีน จะเป็นแรงส่งสนับสนุนให้เกิดการบริโภคภายในประเทศ ให้เศรษฐกิจในภาพรวมขยายตัวได้อย่างต่อเนื่องและมั่นคง ทั้งนี้คาดว่าจะสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นประมาณ 70,000 ล้านบาท และกระตุ้น GDP ปี 2567 ให้เพิ่มขึ้นอีกประมาณ 0.18%” นางรัดเกล้า กล่าว