In News
รัฐฯดันe-Governmentเชื่อมรัฐ-เอกชน ลดขั้นตอนขอเอกสารเพิ่มความรวดเร็ว
กรุงเทพฯ-โฆษกรัฐบาลเผย รัฐบาลสนับสนุน e-Government เชื่อมข้อมูลระหว่างภาครัฐ-เอกชน ลดขั้นตอนการขอเอกสาร อำนวยความสะดวกร่วมกัน เพื่อประโยชน์ถึงประชาชน
วันนี้ (28 ธันวาคม 2566) นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ตระหนักดี และสนับสนุนแนวทางการใช้เทคโนโลยีมาช่วยให้การทำงาน และช่วยให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลภาครัฐง่ายขึ้น e-Government หรือรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ รวมทั้งการเชื่อมต่อข้อมูลระหว่างกัน
รัฐบาลจึงสนับสนุนความร่วมมือเพื่อยกระดับการทำธุรกรรมระหว่างภาครัฐและเอกชน โดยกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ร่วมกับหอการค้าไทย ได้ร่วมกันส่งเสริมสิทธิประโยชน์ให้กับภาคธุรกิจ โดยมีการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ โดยเฉพาะการทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับเอกสาร เพื่อเชื่อมข้อมูลระหว่างหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน ลดขั้นตอนการขอเอกสารของภาคธุรกิจที่ต้องติดต่อกับภาครัฐ ช่วยประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย พร้อมทั้งจัดอบรมหลักสูตรที่เป็นประโยชน์ ให้กับผู้ประกอบการ และสร้างเครือข่ายด้านการค้าและการท่องเที่ยวทั่วประเทศ
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้รวบรวมและจัดทำฐานข้อมูลใบอนุญาตที่กฎหมายกำหนด เพื่อให้มีการเข้าถึงข้อมูลระหว่างหน่วยงาน ข้อมูลเชื่อมต่อกัน และมีการปรับข้อมูลให้เป็นปัจจุบันเสมอ โดยจากการดำเนินการที่ผ่านมา ได้ทำการเชื่อมข้อมูลของหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องไปแล้ว 95 หน่วยงาน พร้อมทั้งปรับกระบวนการและขั้นต่อการติดต่อ นำเข้าข้อมูลสู่ระบบออนไลน์ ลดขั้นตอนในการขอเอกสารสำคัญ เพื่ออำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจของภาคเอกชน (Ease of doing Business) โดยสามารถ ออกใบอนุญาต แจ้งผลการพิจารณา ใบรับรอง หรือหลักฐานอื่นๆ ในรูปแบบไฟล์อิเล็กทรอนิกส์ (PDF) ลงนามด้วย e-Signature ที่มีความน่าเชื่อถือและตรวจสอบได้ และสามารถส่งให้หน่วยงานอื่นๆ ผ่านระบบ e-Service
นอกจากนี้ ทั้ง 2 หน่วยงานมีแผนในการเดินหน้ายกระดับภาคธุรกิจ SMEs โดยมีการจัดอบรมหลักสูตรความรู้เพิ่มเติม เช่น หลักสูตรทรัพย์สินทางปัญญา หลักสูตรการทำธุรกิจบัญชีเดียว เพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจในหลักการดำเนินธุรกิจ เพิ่มโอกาสและเตรียมความพร้อมในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน เพื่อสนับสนุนเป้าหมายของภาครัฐที่จะทำให้มูลค่าทางเศรษฐกิจของ SMEs เติบโตขึ้นไปถึง 40% ของ GDP ประเทศ ภายในปี 2570 และ ร่วมกันจัดทำโครงการ “Family Business Thailand” เพื่อเป็นแหล่งให้ความรู้แบบ Non- Degree และ Degree ให้แก่ผู้ประกอบการธุรกิจครอบครัวทั่วประเทศ
ทั้งนี้ ในด้านการท่องเที่ยว เครือข่ายภาคการค้าและการท่องเที่ยวทั่วประเทศ ได้จัดทำแผนการส่งเสริมการท่องเที่ยวคุณภาพ และดำเนินโครงการมอบป้ายของดีจังหวัด เพื่อเชื่อมโยงการทำงานร่วมกัน สร้างการรับรู้ร้านอาหารไทยที่ได้รับตราสัญลักษณ์ Thai SELECT การันตีรสชาติอาหารไทยแท้ และการใช้วัตถุดิบในท้องถิ่นที่ดี ซึ่งปัจจุบันมี 370 ร้านทั่วประเทศ พร้อมประชาสัมพันธ์ร้านอาหาร Thai SELECT ผ่านสิทธิประโยชน์ TCC Connect ของหอการค้าไทย และแอปพลิเคชัน TAGTHAi ให้เป็นที่รู้จักมากขึ้นในกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติด้วย
“นายกรัฐมนตรีขอบคุณทุกหน่วยงานที่รับลูกแนวทางที่รัฐบาลให้ความสำคัญตามกระแสความท้าทาย และขอบคุณบทบาทภาคเอกชนที่มีส่วนช่วยขับเคลื่อนนโยบายของภาครัฐให้เห็นผลเป็นรูปธรรมอย่างไร้รอยต่อ โดยรัฐบาลได้มุ่งส่งเสริมหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน ในการแลกเปลี่ยนและเชื่อมต่อข้อมูลระหว่างกัน เพื่อความสะดวกรวดเร็ว และสิทธิประโยชน์ทางธุรกิจ พร้อมทั้งส่งเสริมการให้เกิดเรียนรู้ในภาคธุรกิจ SMEs รวมถึงสร้างเครือข่ายทางธุรกิจและการท่องเที่ยว ให้เชื่อมโยงเพื่อยกระดับและพัฒนาผู้ประกอบการให้เติบโตอย่างเข้มแข็ง ให้เกิดประโยชน์สูงสุด” นายชัย กล่าว