EDU Research & ESG

ไทยสอบตกคะแนนป้องกันธุรกิจยาสูบ ร่วงจากอันดับ11ลง26ของโลกเหตุมีวิ่งเต้น



กรุงเทพฯ-ไทยสอบตก คะแนนป้องกันการแทรกแซงจากธุรกิจยาสูบ“ร่วงจากอันดับ 11 เป็น 26 ของโลก”หลังพบ“มีการวิ่งเต้นเรื่องบุหรี่ไฟฟ้าจากเครือข่ายเชื่อมโยงบริษัทบุหรี่ยักษ์ใหญ่”

รศ.ดร.พญ.เริงฤดี ปธานวนิช ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยติดตามและเฝ้าระวังอุตสาหกรรมยาสูบ ภาควิชาเวชศาสตร์ชุมชน คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี เปิดเผย‘ผลการสำรวจดัชนีการแทรกแซงอุตสาหกรรมยาสูบทั่วโลก’ปี 2566 ที่จัดทำโดย ศูนย์ธรรมาภิบาลระดับโลกด้านการควบคุมยาสูบ (Global Center for Good Governance in Tobacco Control) ซึ่งดัชนีนี้พัฒนามาจากกรอบอนุสัญญาด้านการควบคุมยาสูบองค์การอนามัยโลก มาตรา 5.3 เพื่อป้องกันไม่ให้ธุรกิจยาสูบแทรกแซงนโยบายสาธารณะที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมยาสูบ โดยดัชนี้ดังกล่าวมีตัวชี้วัดสำคัญ 7 ตัว ได้แก่ 1. ระดับการมีส่วนร่วมของธุรกิจยาสูบในการพัฒนานโยบายสาธารณะ 2. การดำเนินกิจกรรมเพื่อสังคมของธุรกิจยาสูบ 3. การเอื้อประโยชน์ให้ธุรกิจยาสูบ 4. การยอมรับความร่วมมือจากธุรกิจยาสูบโดยไม่จำเป็น 5. การเปิดเผยข้อมูลของธุรกิจยาสูบสู่สาธารณะ 6. การมีผลประโยชน์ทับซ้อนกับธุรกิจยาสูบ และ 7. มาตรการป้องกันการแทรกแซงจากธุรกิจยาสูบ

“ผลการสำรวจนี้ พบว่าประเทศไทยได้คะแนนเพิ่มจาก 41 คะแนนเมื่อปี 2564 เป็น 50 คะแนนในปี 2566 ซึ่งบ่งชี้ว่ามีการแทรกแซงนโยบายสาธารณะด้านการควบคุมยาสูบจากธุรกิจยาสูบเพิ่มมากขึ้น ทำให้อันดับของการป้องกันการแทรกแซงจากธุรกิจยาสูบร่วงจาก 11 เป็นอันดับ 26 ของโลก ซึ่งรายงานฉบับนี้ระบุไว้ชัดเจนว่า สาเหตุที่ประเทศไทยสอบตก เนื่องจากพบมีธุรกิจยาสูบและองค์กรที่มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกับธุรกิจยาสูบวิ่งเต้นเพื่อให้รัฐบาลไทยยกเลิกกฎหมายห้ามบุหรี่ไฟฟ้าอย่างหนักหน่วง โดยเฉพาะมีการล็อบบี้เข้าพบผู้บริหารกระทรวงต่างๆ และนักการเมืองจนทำให้มีการตั้งคณะทำงานในกระทรวงหนึ่งเพื่อศึกษาบุหรี่ไฟฟ้า และคณะอนุกรรมาธิการอีก 2 ชุดในสภาผู้แทนราษฎร โดยมีผู้แทนเครือข่ายที่เกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับธุรกิจยาสูบเข้าร่วมเป็นที่ปรึกษา และจัดทำรายงานในลักษณะที่เอื้อประโยชน์ให้กับธุรกิจยาสูบ เช่น แนะนำให้ประเทศไทยใช้หลักการ ‘การลดอันตราย’ ที่ธุรกิจยาสูบมักใช้อ้างไปทั่วโลกเพื่อสนับสนุนการใช้บุหรี่ไฟฟ้าและต้องการทำให้บุหรี่ไฟฟ้าถูกกฎหมายในประเทศไทย” รศ.ดร.พญ.เริงฤดี กล่าว

ผศ.ดร.นพ.วิชช์ เกษมทรัพย์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและจัดการความรู้เพื่อการควบคุมยาสูบ (ศจย.) กล่าวว่า องค์การอนามัยโลกตระหนักถึงภัยคุกคามจากการแทรกแซงนโยบายของธุรกิจยาสูบ ทำให้เมื่อ 16 พ.ย. 2566 มีการออกแคมเปญ ‘Stop the Lies’ (หยุดการโกหก) ที่มุ่งต่อสู้กับข้อมูลข่าวสารที่หลอกลวงของธุรกิจยาสูบ โดยให้ความกระจ่างเกี่ยวกับการที่ธุรกิจยาสูบมุ่งเป้าไปที่เด็กและเยาวชนอย่างต่อเนื่อง และเรียกร้องให้รัฐบาลทั่วโลกปกป้องการกำหนดนโยบายด้านสุขภาพจากการแทรกแซงของธุรกิจยาสูบ ทั้งนี้ปัจจุบันสถานการณ์ในประเทศไทยธุรกิจยาสูบและเครือข่ายยังคงทำการวิ่งเต้นอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดคือ การตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อพิจารณาเรื่องบุหรี่ไฟฟ้าในสภาผู้แทนราษฎรที่มีรายชื่อของบุคคลสองคนที่มีความสัมพันธ์กับธุรกิจยาสูบข้ามชาตินั่งเป็นกรรมาธิการด้วย โดยเรื่องนี้ทาง ศจย. และภาคีเครือข่ายได้ทำหนังสือถึงท่านประธานสภาผู้แทนราษฎรและประธานกรรมาธิการฯ ชุดดังกล่าวให้มีการสอบสวนและดำเนินการอย่างเร่งด่วนเพราะขัดต่อกรอบอนุสัญญาว่าด้วยการควบคุมยาสูบมาตรา 5.3 อย่างรุนแรง ‘หากปล่อยให้ธุรกิจยาสูบวิ่งเต้นกันในประเทศไทยในลักษณะแบบนี้ต่อไป การสำรวจรอบต่อๆ ไปประเทศไทยคงจะสอบตกอีก ซึ่งทำให้เครดิตที่ดีด้านการควบคุมยาสูบของไทยตกต่ำลง โดยผลกระทบที่สำคัญจะอยู่ที่ประชาชนคนไทย โดยเฉพาะเด็กและเยาวชนที่ต้องตกเป็นเหยื่อของธุรกิจยาสูบ’