In News
'ไทย-จีน'เทหมดแลกหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ พร้อมร่วมแลนด์บริดจ์และสินค้าเกษตร
กรุงเทพฯ-นายกฯ เผย ประเทศจีนยินดีแก้ไขปัญหาเรื่องด่านกักเชื้อโรค พร้อมตั้งคณะทำงานร่วมกันระหว่างไทย-จีน หวังเพิ่มความสะดวกการค้าขายสินค้าเกษตรทางรถไฟ เตรียมเปิดตลาดส่งออกสินค้าคุณภาพไปจีน คาดว่าภายหลังการลงนามพิธีสารจะเพิ่มมูลค่าการส่งออกได้ประมาณ 1,000 ล้านบาท เผยทูตจีนยินดีสนับสนุนหมีแพนด้าให้ประเทศไทย เผยประเทศจีนสนใจโครงการ Landbridge เตรียมให้ คค.เดินทางจัด Road Show สร้างความเข้าใจ ย้ำไทยจีนมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น ก่อนหน้านี้ นายกฯได้หารือ นายหวัง อี้ รมว. กระทรวงการต่างประเทศจีน ย้ำความเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์อย่างรอบด้าน เสริมสร้างประชาคมไทย – จีนที่มีอนาคตร่วมกันจีนเชื่อไทยจะเป็นกำลังสำคัญส่งเสริมความเสถียรภาพและสันติภาพของทั่วโลก
วันนี้ (29 มกราคม 2567) เวลา 11.15 น. ณ บริเวณทางเชื่อมตึกไทยคู่ฟ้าและตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังการหารือกับ หวัง อี้ รัฐมนตรีต่างประเทศของจีน นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงเรื่องการค้าระหว่างประเทศไทย-จีน โดยได้มีการพูดคุยในหลาย ๆ มิติ ไม่ว่าจะเป็นการตั้งโรงงานอุตสาหกรรม ไม่ใช่แค่รถยนต์ไฟฟ้า EV เพียงอย่างเดียว เรื่องของการเดินทางรถไฟความเร็วสูงที่จะมีขึ้นจากจังหวัดหนองคาย ผ่านประเทศลาวแล้วเข้าสู่ประเทศจีน ซึ่งมีปัญหาในเรื่องของการศูนย์เปลี่ยนถ่ายสินค้า โดยได้มีการพูดคุยกันให้คณะทำงานของทั้งสองประเทศมาทำงานร่วมกันต่อ
นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้ ได้หารือถึงการค้าขายด้านสินค้าเกษตรกรรม ในเรื่องปศุสัตว์ เช่น โค ซึ่งประเทศจีนมีความต้องการอย่างมาก แต่ด้านด่านกักกันเชื้อโรคอยู่ประเทศลาว ทำให้การค้าระหว่างประเทศ เกิดความไม่สะดวก ทั้งนี้ นายกฯ ต้องการให้มีด่านกักกันเชื้อโรคเกิดขึ้นในประเทศไทย ไม่ใช่แค่ที่ประเทศลาว โดยทางด้านประเทศจีนได้รับปากว่าจะมีการทำให้เกิดขึ้น
ไทย - จีนตกลงความร่วมมือสินค้าเกษตร คาดว่าภายหลังการลงนามพิธีสารจะเพิ่มมูลค่าการส่งออกได้ประมาณ 1,000 ล้านบาท
นายเศรษฐา ทวีสิน รัฐมนตรี เป็นประธานพิธีลงนามพิธีสารระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แห่งราชอาณาจักรไทย และสำนักงานศุลกากรแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน 2 ฉบับ ได้แก่ 1) พิธีสารว่าด้วยข้อกำหนดด้านมาตรการสุขอนามัยพืช สำหรับการส่งออกต้นสนใบพาย จากราชอาณาจักรไทยไปยังสาธารณรัฐประชาชนจีน ระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แห่งราชอาณาจักรไทย และสำนักงานศุลกากรแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน และ 2) ความตกลงเพื่อแก้ไขพิธีสารว่าด้วยหลักเกณฑ์การตรวจสอบ การกักกัน และสุขอนามัยทางสัตวแพทย์ เพื่อการส่งออกเนื้อสัตว์ปีกแช่แข็งและชิ้นส่วนสัตว์ปีกไทยไปจีน โดยมี ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นผู้ลงนามฝ่ายไทย และ นายหาน จื้อเฉียง เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย เป็นผู้ลงนามฝ่ายจีน พร้อมด้วย นายหวัง อี้ ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการกลางด้านกิจการต่างประเทศ พรรคคอมมิวนิสต์จีน และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน และนายจักรพงษ์ แสงมณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ราชอาณาจักรไทย ร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนาม ณ ห้องรับรองสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล
สำหรับการลงนามพิธีสารทั้งสองฉบับนี้ เป็นผลสำเร็จจากการทำงานอย่างใกล้ชิดระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แห่งราชอาณาจักรไทย และสำนักงานศุลกากรแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยทั้งสองฝ่ายต่างมุ่งมั่นที่จะขยายการค้าสินค้าเกษตรระหว่างกันให้มากยิ่งขึ้น ซึ่งการเปิดตลาดสินค้าเกษตรระหว่างกันอย่างเป็นทางการส่งผลให้ประเทศไทย สามารถส่งออกต้นสนใบพายไปยังจีนได้ รวมทั้งเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยในการสร้างตลาดใหม่ให้กับสินค้าเกษตรของไทย และเป็นการเพิ่มมูลค่าการส่งออกสินค้าไทยในตลาดจีน รวมถึงเป็นการสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรของประเทศไทย และคาดว่าจะมีมูลค่าการส่งออกต้นสนใบพายจากไทยไปจีนราว 1,500 ล้านบาท ต่อปี
และในส่วนการลงนามความตกลงเพื่อแก้ไขพิธีสารว่าด้วยหลักเกณฑ์การตรวจสอบการกักกันและสุขอนามัยทางสัตวแพทย์เพื่อการส่งออกเนื้อสัตว์ปีกแช่แข็งและชิ้นส่วนสัตว์ปีกไทยไปจีน มีการส่งออกเนื้อสัตว์ปีกแช่แข็งและชิ้นส่วนสัตว์ปีกไปยังประเทศจีน เคยมีการลงนามในพิธีสารเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2561 ซึ่งประเทศไทยสามารถส่งออกได้เฉพาะเนื้อไก่ เนื้อเป็ด ชิ้นส่วนและเครื่องในไก่ เท่านั้น สำหรับการแก้ไขพิธีสารเพื่อขยายขอบข่ายตามร่างความตกลงฯ ฉบับใหม่ดังกล่าว จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการส่งออกชิ้นส่วนและเครื่องในเป็ดได้เพิ่มเติมอีก 18 รายการ โดยในปี 2566 ไทยมีมูลค่าการส่งออกเนื้อสัตว์ปีกแช่แข็งและชิ้นส่วนสัตว์ปีกไปยังจีนกว่า 16,000 ล้านบาท คาดว่าภายหลังการลงนามพิธีสารจะเพิ่มมูลค่าการส่งออกได้ประมาณ 1,000 ล้านบาท
จีนสนใจโครงการ Landbridge เตรียมให้คมนาคมเดินทางจัด Road Show สร้างความเข้าใจ ย้ำไทยจีนมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น
เวลา 11.15 น. ณ บริเวณทางเชื่อมตึกไทยคู่ฟ้าและตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังการหารือกับ หวัง อี้ รัฐมนตรีต่างประเทศของจีน นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่า มีการเซ็นสัญญาเรื่องการค้าทางด้านเกษตรกรรมระหว่างร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กับทูตจีน อีกทั้ง ประเทศจีนให้ความสนใจเรื่อง Landbridge แต่ต้องการข้อมูลเพิ่มเติม และไม่ใช่เพียงแค่ทางรัฐบาลจีนอย่างเดียว ทางเอกชนของจีนก็ให้ความสนใจที่จะมีส่วนร่วม เพราะว่าเขาทราบดีอยู่ว่าหนึ่งในเหตุผลหลักที่ประเทศไทยควรจะมีโครงการ Landbridge เนื่องจากการลงทุนที่มาจากประเทศจีนในช่วงปีหลัง ๆ บริษัทใหญ่ ๆ ของประเทศจีนมาลงทุนสร้างโรงงานผลิต โรงงานอุตสาหกรรมที่ใหญ่มากในเมืองไทย และไม่ใช่แค่มาตอบสนองความต้องการของคนในประเทศไทยอย่างเดียว แต่จะใช้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการส่งออก
นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปว่า ประเทศไทยจะต้องมีท่าเรือน้ำลึก ต้องมี Mega Project ใหญ่ ๆ อย่างโครงการ Landbridge เพื่อที่จะซัพพอร์ตในจุดนี้ โดยทางด้านนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมก็จะเดินทางไปประเทศจีนในเร็ว ๆ นี้ เพื่อจะจัดทำ Road Show ให้เกิดขึ้น ทั้งหมดนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นที่ประเทศไทยมีความสัมพันธ์อันดีกับประเทศจีน ซึ่งในปีหน้าก็จะครบ 50 ปี ตนเองได้ถือโอกาสเรียนเชิญประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ให้ท่านมาเยือนที่ประเทศไทยด้วย
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้แจ้งข่าวดีว่า ได้ขอรับการสนับสนุนหมีแพนด้าจากทูตจีน ซึ่งทูตจีนยินดีจะสนับสนุน ทำให้ประเทศไทยกลับมามีหมีแพนด้าในสวนสัตว์จังหวัดเชียงใหม่อีกครั้งหนึ่ง
นายกฯ หารือ นายหวัง อี้ รมว. กระทรวงการต่างประเทศจีน ย้ำความเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์อย่างรอบด้าน เสริมสร้างประชาคมไทย – จีนที่มีอนาคตร่วมกัน
เมื่อ29 มกราคม 2567 ณ ห้องสีงาช้าง ทำเนียบรัฐบาล นายหวัง อี้ (H.E. Mr. Wang Yi) สมาชิกกรมการเมือง ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการกลางด้านกิจการต่างประเทศ พรรคคอมมิวนิสต์จีน และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน เข้าเยี่ยมคารวะ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในโอกาสเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ มีสาระสำคัญ ดังนี้
นายกรัฐมนตรีฝากความระลึกถึงและปรารถนาดีไปยังนายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน และนายหลี่ เฉียง นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนจีน และยินดีสำหรับการลงนามความตกลงยกเว้นวีซ่าระหว่างไทย – จีน ซึ่งเชื่อมั่นว่าจะช่วยผลักดันเรื่องการค้าขายและความสัมพันธ์ในระดับประชาชนร่วมกัน โดยในปี 2568 ไทยและจีนจะครบรอบการฉลอง 50 ปีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต ซึ่งรัฐบาลไทยให้ความสำคัญกับการพัฒนาความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศอย่างลึกซึ้ง จึงเป็นโอกาสสำคัญที่สะท้อนถึงความเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์อย่างรอบด้าน โดยนายกรัฐมนตรียืนยันว่า รัฐบาลจะสร้างประชาคมไทย - จีนที่มีอนาคตร่วมกัน และขอให้ทั้งสองฝ่ายหารืออย่างใกล้ชิดถึงการจัดกิจกรรมเพื่อเฉลิมฉลองร่วมกัน โดยเฉพาะกิจกรรมส่งเสริมความสัมพันธ์และความเข้าใจในระดับประชาชน
นายหวัง อี้ ชื่นชมนายกรัฐมนตรีที่ได้เลือกเยือนจีนเป็นประเทศแรกในเอเชีย ซึ่งแสดงให้เห็นว่าไทยให้ความสำคัญกับจีน ซึ่งทั้งสองประเทศมีความผูกพันธ์ฉันมิตรอย่างใกล้ชิด ดังเช่นที่กล่าวว่า “จีนไทยใช่อื่นไกล พี่น้องกัน” สอดคล้องกับที่นายกรัฐมนตรีได้หารือกับนายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีนที่ต่างเห็นพ้องว่าจะสร้างประชาคมสำหรับประชาชนร่วมกันในอนาคต นอกจากนี้ เชื่อมั่นว่าไทยจะเป็นกำลังสำคัญส่งเสริมความเสถียรภาพและสันติภาพของทั่วโลก จีนและไทยเป็นหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์รอบด้าน มีความไว้เนื้อเชื่อใจ ซึ่งความเป็นพันธมิตรระหว่างกันจะเป็นส่วนสําคัญที่จะส่งเสริมสันติภาพและการพัฒนาในภูมิภาคอย่างเป็นรูปธรรม
โอกาสนี้ ทั้งสองฝ่ายได้หารือในประเด็นความร่วมมือที่สำคัญ ดังนี้
ด้านการส่งเสริมสินค้าเกษตร นายกรัฐมนตรียินดีที่ในวันนี้จะมีการลงนามเอกสารเพื่อส่งออกสินค้าเกษตรจากไทยไปจีนจำนวน 2 ฉบับ
ด้านการค้าและการลงทุน ไทยยินดีที่วิสาหกิจและภาคเอกชนจีนมาลงทุนในไทยเป็นอันดับต้น โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) โดยไทยพร้อมส่งเสริมการเติบโตของบริษัทจีนเพื่อส่งออกสินค้าไปยังตลาดทั่วโลก ซึ่งนายหวัง อี้ เห็นพ้อง ซึ่งพร้อมให้จีนสนับสนุนเรื่องการพัฒนาศักยภาพ บุคลากรของไทย และถ่ายทอดเทคโนโลยีต่าง ๆ
ด้านความสัมพันธ์ระดับประชาชนและการท่องเที่ยว ทั้งสองฝ่ายยินดีกับการลงนามความตกลงว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราซึ่งกันและกัน สำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางธรรมดาและหนังสือเดินทางกึ่งราชการ โดยนายกรัฐมนตรีถือเป็นนิมิตรหมายอันดีระหว่างสองประเทศ ซึ่งจะช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์ระดับประชาชนในระยะยาว พร้อมเน้นย้ำว่า ได้สั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้มีมาตรการดูแลความปลอดภัยนักท่องเที่ยวต่างชาติอย่างรอบคอบมากขึ้น โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีน รวมทั้งได้หารือถึงการส่งมอบหมีแพนด้าในฐานะทูตสันถวไมตรีระหว่างจีนกับไทยอีกครั้งหนึ่ง ด้านนายหวัง อี้ เห็นพ้องโดยถือเป็นการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมของทั้งสองประเทศ โดยจะนำข้อเสนอนี้ หารือร่วมกันเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทยเพื่อสนับสนุนต่อไป
ด้านโครงสร้างพื้นฐาน จีนเห็นถึงความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ของโครงการ Landbridge ซึ่งจะหารือร่วมกับภาคเอกชนจีนที่สนใจและจะขอทราบรายละเอียดเพิ่มเติม ซึ่งนายกรัฐมนตรียินดีที่จะจัด Road show และพร้อมให้คำแนะนำแก่ผู้ที่สนใจ ซึ่งโครงการ Landbridge ถือเป็นโอกาสทางเศรษฐกิจและยังสามารถเป็นจุดเชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์ BRI เชื่อมเอเชียไปยังภูมิภาคตะวันออกกลางและยุโรปได้ จึงอยากให้จีนมีส่วนร่วมในโครงการที่สำคัญนี้ ขณะที่โครงการรถไฟความเร็วสูงไทย - จีน นายกรัฐมนตรีได้ยืนยันความตั้งใจของฝ่ายไทยในการเร่งก่อสร้างโครงการรถไฟความเร็วสูง และการเชื่อมโยงระบบขนส่งทางรางไทย - ลาว – จีน
ด้านการแก้ปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะหาแนวทางร่วมกันเพื่อรับมือกับภัยคุกคามรูปแบบใหม่อย่างครอบคลุม โดยพร้อมร่วมมือกันในการสกัดกั้นและปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ ทั้งขบวนการหลอกลวงทางโทรศัพท์ การพนัน ออนไลน์ การค้ามนุษย์ และยาเสพติด ซึ่งนายหวัง อี้ ยืนยันว่า ทางจีนให้ความสำคัญกับประเด็นดังกล่าว โดยพร้อมร่วมมือกับไทยอย่างใกล้ชิดเพื่อแก้ไขปัญหา
ด้านความร่วมมือระดับภูมิภาค ไทยเชื่อมั่นว่าจะเป็นตัวแทนในการรักษาเสถียรภาพ ช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตให้กับภูมิภาคนี้ได้ ซึ่งนายหวัง อี้ ยืนยันว่าจีนพร้อมสนับสนุนไทยในการเป็นประธานกรอบความร่วมมือแม่โขง – ล้านช้าง ในปี 2567 นี้ เพื่อสร้างผลประโยชน์ให้กับประชาชาชนในภูมิภาค
ภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ ทั้งสองฝ่ายได้มีการลงนามเอกสาร 2 ฉบับจากความร่วมมือของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และสํานักงานศุลกากรแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ได้แก่ 1) พิธีสารว่าด้วยข้อกำหนดด้านมาตรการสุขอนามัยพืช สำหรับการส่งออกต้นสนใบพาย จากประเทศไทยไปประเทศจีน และ 2) ความตกลงเพื่อแก้ไขพิธีสารว่าด้วยหลักเกณฑ์การตรวจสอบ การกักกัน และสุขอนามัยทางสัตวแพทย์เพื่อการส่งออกเนื้อสัตว์ปีกแช่แข็งและชิ้นส่วนสัตว์ปีกไทยไปจีน โดยร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นผู้ลงนามฝ่ายไทย และนายหาน จื้อเฉียง เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย เป็นผู้ลงนามฝ่ายจีน โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานสักขีพยานการลงนามพิธีสารฯ ดังกล่าว พร้อมนายหวัง อี้ และนายจักรพงษ์ แสงมณี รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเข้าร่วมด้วย