EDU Research & ESG
นักวิชาการ-เด็กยื่นร้องปธกมธ.บุหรี่ไฟฟ้า ขอให้ฟังเสียงปชช.ให้คงกฏหมายไว้
กรุงเทพฯ-นักวิชาการ เด็กเยาวชน ยื่นหนังสือถึง “ประธานกมธ.วิสามัญบุหรี่ไฟฟ้า” เรียกร้องฟังเสียงประชาชนขอให้“คงกฎหมายห้ามนำเข้าห้ามขายบุหรี่ไฟฟ้า” และ “เร่งบังคับใช้กฎหมายอย่างเร่งด่วน” เพื่อปกป้องเด็กไทยจากภัยบุหรี่ไฟฟ้า หลังพบมีการลักลอบขายบุหรี่ไฟฟ้าในสื่อออนไลน์จำนวนมาก
เมื่อวันที่8 ก.พ.2567 ศูนย์วิจัยและจัดการความรู้เพื่อการควบคุมยาสูบ (ศจย.) สหพันธ์นิสิตนักศึกษาแพทย์แห่งประเทศไทย ในพระอุปถัมภ์ฯ และสภาการศึกษาคาทอลิกแห่งประเทศไทย ได้ยื่นหนังสือถึง ‘นพ.นิยม วิวรรธนดิษกุลประธานกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษากฎหมายและมาตรการควบคุมกำกับบุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทย’ เรียกร้องฟังเสียงประชาชน ขอให้ ‘คงกฏหมายห้ามนำเข้าห้ามขายบุหรี่ไฟฟ้า’ และ ‘เร่งบังคับใช้กฎหมายอย่างเร่งด่วน’ เพื่อปกป้องเด็กไทยจากภัยบุหรี่ไฟฟ้าหลังพบมีการลักลอบขายบุหรี่ไฟฟ้าในสื่อออนไลน์จำนวนมาก
ผศ.ดร.นพ.วิชช์ เกษมทรัพย์ ผู้อำนวยการ ศจย. กล่าวว่า เมื่อวันที่25 มกราคม 2567 ที่ผ่านมา มีการแต่งตั้ง‘คณะอนุกรรมาธิการเพื่อพิจารณากฏหมายเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้าให้เหมาะสมกับประเทศไทย” นั้น จึงขอให้อนุกรรมาธิการฯ ขุดนี้ คำนึงถึงข้อมูลข้อเท็จจริงอย่างรอบด้านในการพิจารณากฎหมายบุหรี่ไฟฟ้าของประเทศไทย เพื่อปกป้องเยาวชนไทยจากบุหรี่ไฟฟ้าเพราะข้อมูลทั่วโลกพบช่วงอายุที่มีการสูบบุหรี่ไฟฟ้ามากคือ 15-24 ปี ซึ่งเป็นเยาวชนนักสูบหน้าใหม่ที่เพิ่งเริ่มลองสูบบุหรี่ไฟฟ้า ทั้งนี้มาตรการบุหรี่ไฟฟ้า แบน vs ควบคุม บทเรียนจากต่างประเทศ สรุปได้ดังนี้ 1) ปัจจุบันประเทศที่แบนบุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จาก 4 ประเทศในปี 2555 เป็น 37 ประเทศในปี 2566 2)ประเทศที่แบนบุหรี่ไฟฟ้าพบอัตราการสูบของเยาวชนต่ำกว่าประเทศที่ให้ขายถึง 0.6 เท่า 3) ประเทศที่ให้ขายได้แล้วออกกฎหมายควบคุม เช่น อังกฤษ อเมริกา แคนาดา นิวซีแลนด์ ปัจจุบันพบว่าคุมไม่ได้จริง อัตราสูบบุหรี่ไฟฟ้าในเยาวชนเพิ่มขึ้นมากและบางประเทศยังพบอัตราสูบบุหรี่มวนเพิ่มอีกด้วย 4) ประเทศที่เคยแบน แล้วเปลี่ยนเป็นให้ขายได้ พบอัตราสูบบุหรี่ไฟฟ้าในเยาวชนเพิ่มเป็น 2-5 เท่าตัว เช่น แคนาดา นิวซีแลนด์ 5) องค์การอนามัยโลก สนับสนุนให้ประเทศรายได้น้อยและปานกลาง ใช้มาตรการแบนบุหรี่ไฟฟ้าเพื่อปกป้องเยาวชนและยังพบประเทศรายได้สูงหลายประเทศที่แบนบุหรี่ไฟฟ้าเพราะต้องการปกป้องเยาวชน เช่น สิงคโปร์ ออสเตรเลีย ไต้หวัน ฮ่องกง
“ซึ่งทาง 2แพร่งที่ไทยต้องเลือกจากการทบทวนรายงานสถานการณ์อัตราการสูบบุหรี่ไฟฟ้าของเยาวชนในประเทศต่างๆ ที่ห้ามสูบบุหรี่ไฟฟ้า และไม่ห้าม พบว่าทางเลือกที่หนึ่งหากยกเลิกกฎหมายห้ามนำเข้าห้ามขายบุหรี่ไฟฟ้า แล้วเปิดเป็นบุหรี่ไฟฟ้าเสรี คาดการณ์ว่าสถานการณ์จะเป็นเหมือนแคนาดาและนิวซีแลนด์ โดยอัตราสูบบุหรี่ไฟฟ้าในเยาวชนไทยจะเพิ่มขึ้น 2-5 เท่า ใน 3 ปี นั่นคือถ้าใช้ข้อมูล ปี 2564 คือ 8% จะเพิ่มสูงถึง 16-40%” ขณะที่ทางเลือกที่สองคงกฏหมายห้ามนำเข้าห้ามขายบุหรี่ไฟฟ้า แต่ต้องเข้มงวดการบังคับใช้กฏหมายให้เคร่งครัด ในการจับ ปรับ อย่างจริงจัง ห้ามโฆษณาและห้ามขายโดยเฉพาะในสื่อออนไลน์เหมือนกับที่สิงคโปร์และฮ่องกงดำเนินการ ซึ่งคาดการณ์ว่าอัตราการสูบบุหรี่ไฟฟ้าในเยาวชนไทยจะไม่เพิ่มขึ้นและจะค่อยๆลดลง เหมือนสิงคโปร์ที่ลดลงจาก 11.8% เป็น 10.1% ใน 3 ปี และฮ่องกงลดจาก10.2% ในปี 2562 เป็น9.5% หลังจากห้ามขายบุหรี่ไฟฟ้าในปี 2564”ผศ.ดร.นพ.วิชช์ กล่าว
น.ส.มุทิตาชาบำเหน็จผู้แทนโรงเรียนพระหฤทัยคอนแวนต์ กรุงเทพฯ ภายใต้สภาการศึกษาคาทอลิกแห่งประเทศไทยกล่าวว่า ในสภาวะที่บุหรี่ไฟฟ้าเป็นสิ่งผิดกฎหมายในสังคมไทยแต่ด้วยกลยุทธ์การตลาดที่แยบยลที่มีการออกผลิตภัณฑ์บุหรี่ไฟฟ้ารูปแบบใหม่ เป็นตัวการ์ตูน ของเล่นและกล่องนม ซึ่งมีการแพร่กระจายเข้าถึงเด็กและเยาวชนได้โดยง่ายทั้งช่องทางสื่อออนไลน์และการวางขายในท้องตลาดอย่างผิดกฎหมายดังนั้นพวกเราจึงแถลงจุดยืนว่า ขอให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องได้โปรดป้องกันควบคุมบุหรี่ไฟฟ้า โดยขอให้รัฐยังคงกฎหมายห้ามนำเข้าห้ามขายบุหรี่ไฟฟ้าและบังคับใช้อย่างจริงจังเพื่อปกป้องเด็กและเยาวชนไทยจากภัยบุหรี่ไฟฟ้า
นายพีพีบำรุงประเสริฐ ผู้แทนโรงเรียนเซนต์คาเบรียลและโรงเรียนในเครือของมูลนิธิเซนต์คาเบรียลแห่งประเทศไทยภายใต้สภาการศึกษาคาทอลิกแห่งประเทศไทยกล่าวว่า เด็กและเยาวชนไทยกำลังตกเป็นเหยื่อของบุหรี่ไฟฟ้ามากขึ้น ดังจะเห็นได้จากมีการแอบพกพาและสูบในสถานที่ต่างๆ ทั้งในและนอกโรงเรียน พวกเขาอยู่ในวัยอยากรู้อยากลองที่มองข้ามพิษภัยของบุหรี่ไฟฟ้า พวกเราตระหนักถึงสภาวการณ์ปัญหานี้ เพราะในขณะที่ประเทศไทยมีกฎหมายห้ามนำเข้าห้ามขายบุหรี่ไฟฟ้า หากแต่ก็ยังไม่สามารถควบคุมได้ และมีแนวโน้มแพร่ระบาดมากขึ้นอย่างรวดเร็ว ดังนั้นพวกเราจึงร่วมแถลงจุดยืนว่าขอให้กรรมาธิการวิสามัญฯ และอนุกรรมาธิการฯ ทุกท่านได้ปกป้องพวกเราโดยให้คงกฎหมายห้ามนำเข้าห้ามขายบุหรี่ไฟฟ้า และบังคับใช้อย่างเคร่งครัด เพื่อให้พวกเราได้เติบโตเป็นอนาคตของชาติที่มีคุณภาพของประเทศไทย
น.ส.ปัญญดา สกุลทวีวัฒน์ผู้แทนสหพันธ์นิสิตนักศึกษาแพทย์แห่งประเทศไทย ในพระอุปถัมภ์ฯกล่าวว่า ปัจจุบันเด็กและเยาวชนจำนวนมากเริ่มมีการใช้บุหรี่ไฟฟ้าตั้งแต่ในวัยประถมศึกษาและใช้อย่างแพร่หลายในระดับมัธยมศึกษา ดังนั้นพวกเราขอแถลงการณ์ เพื่อแสดงจุดยืนต่อต้านการซื้อ ขาย บุหรี่ไฟฟ้า โดยให้คงซึ่งกฎหมายห้ามนำเข้าห้ามขายบุหรี่ไฟฟ้า และขอให้มีการทบทวนในประเด็นต่างๆดังนี้ 1.หากการใช้บุหรี่ไฟฟ้าสามารถทำได้อย่างถูกกฎหมายจะยิ่งแพร่หลายมากขึ้น แม้ปัจจุบันนี้ไม่ถูกกฎหมายก็พบว่ามีการลักลอบนำเข้า ซื้อขาย และใช้บุหรี่ไฟฟ้าอย่างแพร่หลายในเด็กและเยาวชน ดังนั้นสิ่งที่ต้องทำคือ บังคับใช้กฎหมายห้ามนำเข้าห้ามขายบุหรี่ไฟฟ้าอย่างเร่งด่วน และ 2.การแต่งตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษากฎหมายและมาตรการควบคุมกำกับบุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทยต้องมีรายชื่อคณะกรรมาธิการวิสามัญฯและอนุกรรมาธิการฯ ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับธุรกิจยาสูบเพื่อป้องกันการแทรกแซงนโยบายควบคุมยาสูบจากธุรกิจยาสูบหรือผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง
ผศ.ดร.นพ.วิชช์กล่าวเพิ่มเติมว่า อยากให้กรรมาธิการวิสามัญฯ และอนุกรรมาธิการฯรับฟังเสียงขององค์กร เยาวชน และประชาชนซึ่งผลการสำรวจความคิดเห็นผู้ปกครองและครูต่อนโยบายบุหรี่ไฟฟ้าของประเทศไทยปี 2566 พบว่า ผู้ปกครอง ครู/ผู้บริหารโรงเรียน 91.5% สนับสนุนให้รัฐบาลคงมาตรการห้ามนำเข้าและห้ามขายบุหรี่ไฟฟ้าเพื่อปกป้องเด็กและเยาวชน โดยมีฐานความรู้ความคิดที่มาสนับสนุนคือ 80.7% รู้ว่าบุหรี่ไฟฟ้าเป็นอันตรายต่อสุขภาพมีสารพิษและสารก่อมะเร็งหลายชนิด ทั้งนี้ส่วนใหญ่เห็นว่าประโยชน์ทางภาษีหากอนุญาตให้ขายบุหรี่ไฟฟ้าได้นั้นไม่คุ้มค่ากับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น โดย 88.4% เห็นว่าไม่คุ้มค่ากับค่ารักษาพยาบาลจากโรคที่จะเกิดจากการสูบบุหรี่ไฟฟ้า และ 85% เห็นว่าไม่คุ้มค่ากับการที่ทำให้เด็กและเยาวชนติดบุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นนอกจากนี้ ผู้ปกครอง ครู/ผู้บริหารโรงเรียน ได้มีข้อเรียกร้องถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดย 95.4% เห็นว่าควรเร่งให้ความรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับโทษและพิษภัยบุหรี่ไฟฟ้า และ 93%เห็นว่าควรเร่งปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้าทั้งขายหน้าร้านและสื่อออนไลน์