In News
นายกฯพบหารือเจ้าของผลิตหนังอินเดีย ชวนถ่ายทำภาพยนต์ในเมืองรองของไทย
กรุงเทพฯ-นายกฯพบเจ้าของบริษัทผู้ผลิตภาพยนตร์ชั้นนำและประธานสภาผู้ผลิตภาพยนตร์และโทรทัศน์อินเดีย เชิญชวนถ่ายทำภาพยนตร์ในไทยเพิ่มเติม ดันเมืองรองและวัฒนธรรมไทยสู่สายตาโลก ก่อนหน้านี้นายกฯ และผู้สำเร็จราชการฯ ออสเตรเลีย ชมการแสดงศิลปะมวยไทย ในโอกาสต้อนรับผู้สำเร็จราชการฯ และภริยาเยือนไทยอย่างเป็นทางการและได้ปาฐกถาพิเศษ “จุดเปลี่ยนพลังงานไทยสู่ความยั่งยืน” ยืนยันเดินหน้าเจรจาพัฒนาแหล่งพลังงาน ย้ำรัฐบาลพร้อมทำราคาพลังงานให้เป็นราคาที่เหมาะสม ดึงดูดนักลงทุนมาลงทุนในประเทศ
วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2567 นางนลินี ทวีสิน ผู้แทนการค้าไทย เปิดเผยว่า ภายหลังจากที่ตนได้พบคุณ Sajid Nadiadwala ในระหว่างการเยือนมุมไบในช่วงปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา วันนี้คุณ Sajid Nadiadwala เจ้าของบริษัทภาพยนตร์ชั้นนำของอินเดีย Nadiadwala Grandson Entertainment ซึ่งผลิตภาพยนตร์ไปแล้วกว่า 200 เรื่อง และยังเป็นประธานสภาผู้ผลิตภาพยนตร์และโทรทัศน์อินเดีย 11 สมัย โดยมีบริษัทผู้ผลิตในเครือราว 400 บริษัท ได้เข้าพบนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โดยในการหารือระหว่างท่านนายกและคุณ Sajid ที่ทำเนียบรัฐบาล นั้น ท่านนายกได้เชิญชวนให้คุณ Sajid และสมาชิกในสภาผู้ผลิตภาพยนตร์และโทรทัศน์อินเดียมาถ่ายทำในไทยเพิ่มเติม โดยเฉพาะการถ่ายทำในแหล่งท่องเที่ยวเมืองรอง รวมถึงเสนอให้ในการถ่ายทำนั้น มีเนื้อหาโปรโมทอาหารไทย หรือวัฒนธรรมไทยร่วมอยู่ด้วย
นอกจากนี้ ท่านนายกยังเสนอให้ใช้ประโยชน์จากห่วงโซ่อุปทานการผลิตภาพยนตร์ที่มีความโดดเด่นของไทย ไม่ว่าจะเป็นนักแสดง โรงถ่ายทำภาพยนตร์ ทีมถ่ายทำและทีมตัดต่อ ซึ่งทางคุณ Sajid ได้กล่าวยินดีกับข้อเสนอและขอขอบคุณสำหรับโอกาสในการพบท่านนายกฯ รวมถึงได้ชื่นชมความสามารถในการแสดง โดยเฉพาะการแสดงฉากต่อสู้ของนักแสดงชาวไทย นางนลินีฯ กล่าวทิ้งท้าย
นายกฯ และผู้สำเร็จราชการฯ ออสเตรเลีย ชมการแสดงศิลปะมวยไทย
วันนี้ (14 กุมภาพันธ์ 2567) นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงบรรยากาศการชมศิลปะมวยไทย ซึ่งนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้กำหนดเป็นส่วนหนึ่งในการต้อนรับ พลเอก เดวิด เฮอร์ลีย์ (His Excellency General the Honourable David Hurley AC DSC (Retd)) ผู้สำเร็จราชการแห่งเครือรัฐออสเตรเลีย และภริยา ในโอกาสเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการในฐานะแขกของรัฐบาล เวลา 11.40 น. ณ โถงกลางตึกสันติไมตรี
โดยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า การแสดงศิลปะมวยไทยที่จัดขึ้นในวันนี้ เป็นการสาธิตการไหว้ครู และชกมวยไทย (1 ยก) ระหว่าง นักมวย คนที่ 1 ส.อ. ทศพล เสาร์พะเนา ชื่อมวย เด่นพนม พราน 26 และนักมวย คนที่ 2 นายวิทวัส แซ่คู ชื่อมวย ราศีสิงห์ อโยธยาไฟต์ ยิม
บรรยากาศของการร่วมรับชมการแสดงเป็นไปด้วยความสนุกสนาน และเป็นที่ประทับใจ ฝ่ายออสเตรเลียชื่นชมและชื่นชอบการแสดงกีฬามวยไทยที่จัดขึ้นในครั้งนี้เป็นอย่างมาก และในตอนท้ายนายกรัฐมนตรีได้มอบกางเกงมวยไทยให้ผู้สำเร็จราชการฯ เพื่อเป็นที่ระลึกในโอกาสนี้
นายกรัฐมนตรีปาฐกถาพิเศษ “จุดเปลี่ยนพลังงานไทยสู่ความยั่งยืน”
วันนี้ (14 ก.พ. 67) เวลา 09.00 น. ณ ห้อง Infinity Ballroom โรงแรมพลูแมน คิง พาวเวอร์ กทม. นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานเปิดงาน Thailand Energy Executive Forum และปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “จุดเปลี่ยนพลังงานไทยสู่ความยั่งยืน” โดยมีหน่วยงานทั้งจากภาครัฐ ภาคเอกชนด้านพลังงานและด้านอุตสาหกรรม ตลอดจนสื่อมวลชนเข้าร่วม นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยสาระสำคัญสรุป ดังนี้
นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงเรื่องพลังงานในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาและในอนาคตเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดเพราะเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับทุกเรื่องและทุกภาคส่วนของสังคมและการพัฒนาขับเคลื่อนประเทศ ทั้งการใช้พลังงานในภาคอุตสาหกรรม การผลิต ภาคธุรกิจ การลงทุน ตลอดจนภาคการเกษตรที่ต้องใช้พลังงานในการดึงน้ำเข้าสู่พื้นที่การเกษตรเพื่อให้ได้ผลผลิตเพิ่มขึ้นและมีคุณภาพ ซึ่งขณะนี้การดำเนินการของรัฐบาลนี้สามารถทำให้ราคาข้าวไปอยู่ที่ประมาณ 10,000 – 12,000 บาทต่อตันแล้วจากต้นทุนการผลิตอยู่ที่ประมาณ 5,000 - 6,000 บาท ซึ่งถือว่าดีและจะพยายามทำให้ดีกว่า โดยเฉพาะการใช้พลังงานไฟฟ้าซึ่งเป็นต้นทุนการผลิตทางการเกษตร ได้มีการพิจารณาที่จะให้ใช้พลังงานจากโซล่าเซลล์ตามหมู่บ้านต่าง ๆ เพื่อให้ได้ราคาค่าไฟที่ถูกลงเพราะพลังงานถือเป็นต้นทุนที่สำคัญต่อปัจจัยการผลิตในภาคการเกษตร เรื่องนี้จะทำให้เห็นว่าพลังงานถือว่ามีความสำคัญต่อชีวิตของประชาชนคนไทยทุกคนอย่างมาก และรัฐบาลนี้ให้ความสำคัญ รวมทั้งการให้ความสำคัญด้านพลังงานกับภาคอุตสาหกรรม การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ และโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของประเทศ การพัฒนาสนามบินเพื่อเป็นศูนย์กลางการบินของภูมิภาค (Aviation Hub) ด้านโลจิสติกส์ โครงการ Landbridge ดูแลและพัฒนาศักยภาพแรงงาน ควบคู่กับการขับเคลื่อนพลังงานสะอาดซึ่งไทยมีศักยภาพอย่างมากเพราะมีเขื่อนจำนวนมากที่มีประสิทธิภาพในการผลิตพลังงานได้เพียงพอสำหรับประเทศ สิ่งเหล่านี้จะเป็นกลไกและทำให้ไทยสามารถดึงดูดนักลงทุนจากต่างประเทศมาลงทุนในประเทศไทยได้
นอกจากนี้นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงเขื่อนที่สามารถทำระบบโซล่าเซลล์แบบทุ่นลอยน้ำ (Floating Solar) ให้เป็น Source ของพลังงงาน Clean และ Green Energy ที่สำคัญของประเทศเพื่อเป็นจุดขายให้กับประเทศไทยได้ จึงฝากเรื่องนี้ให้เจ้าหน้าที่และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการแล้ว ทั้งนี้เรื่องของพลังงานจะเป็น Key factor ที่สำคัญในการที่จะขับเคลื่อนประเทศเดินต่อไปข้างหน้า ซึ่งเชื่อว่าทุกคนเข้าใจในการที่จะร่วมกันพัฒนาเรื่องนี้อย่างต่อเนื่องต่อไป
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่านอกจากการพัฒนาทั้ง Clean และ Green Energy แล้ว ยังต้องเร่งเจรจาพัฒนาแหล่งพลังงาน ที่อยู่ในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลระหว่างไทย-กัมพูชา (OCA) เพื่อนำทรัพยากรออกมาใช้ประโยชน์ให้เร็วที่สุด โดยจะเดินหน้าเรื่องนี้ต่อไป โดยแยกปัญหาระหว่างพื้นที่ทับซ้อนและปัญหาเรื่องแบ่งผลประโยชน์ที่จะดำเนินการอย่างโปร่งใส ตรวจสอบได้
นายกรัฐมนตรีย้ำถึงราคาพลังงานว่าเป็นเรื่องที่มีความสำคัญ โดยปัจจุบันบริษัทขนาดใหญ่ โดยเฉพาะบริษัท Data center ต่าง ๆ เช่น Google HUAWEI Microsoft ฯลฯ กำลังที่จะมีการมาลงทุนในไทย ซึ่งราคาพลังงานมีความสำคัญกับเรื่องการดึงดูดนักลงทุนอย่างมาก โดยเฉพาะค่าพลังงานสะอาดเป็นเรื่องที่ทุกบริษัทที่นายกรัฐมนตรีได้พูดคุยด้วยต่างมีประเด็นสอบถาม ว่าจะมีกลไกอะไรที่ภาคเอกชนสามารถดำเนินการได้ เช่น การใช้ PPA การขอใช้ Grid ของการไฟฟ้าในปัจจุบัน เป็นต้น การ Ignore กลไกตลาดจะทำไม่ได้ เพราะพลังงานที่ต้องผลิตขึ้นมาก็ต้องมีผู้จ่าย และอาจจะเป็นเงินของพวกเราทุกคนที่จะวนกลับไปจ่ายให้ผู้ผลิต ทำให้ต้องเก็บเงินกลับคืนอยู่ดี แต่ความเชื่อมั่นที่สูญเสียไป จะประเมินมูลค่าไม่ได้ การที่จะทุบราคาโดยไม่สนใจกลไกตลาด จะกลายเป็นการทำรัฐประหารทางเศรษฐกิจ ซึ่งเราอาจจะได้ค่าไฟถูกอยู่ไม่กี่วัน สุดท้ายประชาชนจะต้องเป็นผู้แบกรับภาระดังกล่าว ไม่ว่าจะทางตรง หรือทางอ้อม และนอกจากนี้ยังส่งผลกระทบด้านลบต่อการลงทุน การส่งออก การจ้างงาน และเศรษฐกิจ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะอยู่ในใจของคนทั้งโลกไปนานนับปี ซึ่งเรื่องนี้ทุกคนต้องช่วยกัน ทั้งนี้รัฐบาลพร้อมยินดีผลักดันกลไกภาคอุตสาหกรรมไปข้างหน้าควบคู่กับการพัฒนาพลังงานไทยสู่ความยั่งยืน