Think In Truth

ย้อนรอยเมียเช่าจีไอสู่ยุคสาวอาบอบนวด (ตอนที่3-จบ) โดย ... พินิจ จันทร



ตามที่ได้กล่าวมาแล้วว่าในยุคสมัยสงครามเวียดนาม ทหารจีไออเมริกันเข้ามาเต็มเมืองไทย เพราะมีฐานทัพอากาศอยู่ทั่วประเทศไทยไม่ว่าอู่ตะเภา ตาคลี อุดรธานี ไว้จอดพักเครื่องบินรบ ที่รอบินไปบอมบ์ถล่มเวียดกง

บรรดาทหารเหล่านั้นพอได้พักรบสักเดือนสองเดือน ก็แห่มาเที่ยวใช้ชีวิตในเมืองไทย เสมือนหนึ่งว่าไม่รู้ครั้งหน้าจะไปตายคาสนามรบหรือไม่จึงจ่ายเงินซื้อความสำราญทุกรูปแบบ

 

บรรยายใต้ภาพ : เครื่องบินรบที่สนามบินอุดรที่รอบินไปบอมบ์ถล่มเวียตกงที่เวียดนาม

บาร์ ไนท์คลับอโกโก้ ตามวัฒนธรรมฝรั่งมังค่าจึงถือกำเนิดขึ้นมากันมากมายเพื่อต้อนรับทหารฝรั่ง เศรษฐกิจรุ่งเรืองเพราะเงินดอลลาร์ เกิดพัทยา พัฒพงศ์ จนไปถึงถนนเพชรบุรีตัดใหม่

เนื่องด้วยฝรั่งไม่ชอบแบบชั่วครั้งชั่วคราว เมื่อพักได้เดือนสองเดือนรอไปรบ ก็ถือโอกาสหาหญิงไทยกินอยู่หลับนอนอย่างกับผัวเมีย (ชั่วคราว) ไปเลย

ต่อมามีหนุ่มเจ้าสำราญจบนอกหัวใส เปิดโรงนวดแบบญี่ปุ่นที่เรียกว่า “ออนเซ็น” เริ่มแรกแค่แก้ผ้าลงอ่างอาบน้ำแบบญี่ปุ่น โดยมีหมอนวดสาวแต่งองค์ทรงเครื่องสีขาวสะอาดตามาช่วยบริการถอดเสื้อผ้า อาบน้ำ นวดให้ลูกค้าชาย แต่ไม่ได้ลงแช่ด้วย

อาบอบนวดพัฒนาขึ้นหลังทหารฝรั่งกลับ ทิ้งมรดก “วัฒนธรรมเซ็กส์” ไว้ให้คนไทย แล้วก็มีอาบอบนวดเปิดขึ้นตามมามากมายหลายที่เพื่อต้อนรับชายไทยมีสตางค์แทน

บรรดาอาโกซึ่งเป็นคนจีนที่ชอบทำโรงแรม ส่วนมากเป็นจีนไหหลำ(คำว่าอาโกคือ อาเฮียในภาษาจีนแต้จิ๋ว) ที่เคยเปิดซ่อง(หนุ่มรุ่นกระทงสมัยนั้นต้องเคยไปโรงแรมย่านวิสุทธิกษัตริย์ บางขุนพรหมเพื่อเรียกเด็ก) ก็ยกระดับพัฒนามาเป็นอาบอบนวดกันเป็นทิวแถว

สุดยอดยุทธจักร ต้องยกให้ฉายา “มิสเตอร์คลีน” เพราะแกชื่อสะอาดรวยเงียบๆ เพราะเป็นเจ้าของโรงแรมมากมายแถววิสุทธิกษัตริย์ไปยันแถวถนนจรัญสนิทวงศ์ ที่เรียกกันว่า “โรงแรมเบอร์” เป็นโรงแรมม่านรูด เด็กสมัยนี้อาจไม่รู้จัก แต่คนรุ่นแก่รู้จักกันดีว่าเอาไว้พาผู้หญิงเข้า พอขับรถเข้าไปก็ปิดม่านทันทีไม่มีใครเห็น(ชื่อโรงแรมเป็นตัวเลขหมด เช่น 44, 55, 66 หรือ 99 ล้วนแล้วแต่มีผู้หญิงเรียกมาบริการเรื่องพรรค์อย่างว่ากันทั้งนั้น)

เมื่ออาบอบนวดเฟื่องฟู ชายไทยรักสนุกไปอุดหนุนกันอุ่นหนาฝาคั่ง ถนนเพชรบุรีจึงติดลมบนของ วงจรอบายมุขที่แม้ชายใดได้ลิ้มลองเป็นได้ถวิลหามาเยือนกันอีกครั้งแล้วครั้งเล่าก็เพราะวิวัฒนาการสุดท้ายของอาบอบนวดจากการแช่น้ำอุ่นๆ คลายเมื่อยแล้วมานวดตัว ได้กลับกลายเป็นธุรกิจเซ็กส์เต็มตัว แม้ว่าเหล่าบรรดาหมอนวดที่มีกฎเหล็กว่า “ห้ามร่วมประเวณีกับแขก” ล้วนฝืนกฎเพราะเจอเสี่ยหรือเหล่าชายหน้ามืดจ่ายเงินให้ต่างหากจากค่านวดอาบน้ำ เป็นปิดเกมด้วยนาบส่งท้าย

พอนานเข้าเจ้าของเลยไปรวมเบ็ดเสร็จค่าอาบน้ำ + นวด + นาบ ในราคาเดียวเสียเลย และมีการแบ่งปันผลประโยชน์เป็นเรื่องเป็นราว เพื่อไม่ให้แขกเบี้ยวหรือเสียรายได้ เพราะว่าบางคนตกลงราคากันเอง แต่เจ้าของไม่ได้ด้วย ก็เป็นปัญหาตามมาอีก

 

ด้วยพัฒนาการของอาบอบนวดดังกล่าวจึงอยู่คู่ประเทศไทยมาถึงทุกวันนี้ โดยสังคมไทยยอมหลับตาลงข้างหนึ่งมาตลอดและตั้งกฎหมายที่เรียกว่า “พรบ.สถานบริการ” ออกมาควบคุม ทั้งไนท์คลับ บาร์รำวง ไปจนถึง อาบอบนวด ล้วนต้องมีใบอนุญาตทั้งสิ้น

กล่าวว่า มีสารพัดกฎเกณฑ์ออกมา ไม่ว่าต้องมีช่องกระจกที่ประตูไว้ดูภายในให้เห็นว่า ทำอะไรกันอยู่หรือประตูห้ามล็อคต้องเปิดได้ตลอด มีระบุจำนวนห้อง รวมทั้งในใบอนุญาตมีระบุจำนวนอ่างไว้ชัดเจน ว่าอนุญาตให้เปิดได้กี่ห้อง กี่อ่าง

แต่ในความเป็นจริง ก็คือใครได้ถือหรือมีใบอนุญาตอาบอบนวดมูลค่าใบละหลายสิบล้าน วัดกันที่จำนวนห้องที่ระบุไว้ในใบอนุญาตแต่ละใบไม่เหมือนกัน ได้มากันอย่างไรแล้วกฎหมายบังคับใช้ได้ไหมหรือแม้แต่มีวิธีหลีกเลี่ยงกันยังไงสารพันวิธีการ “ซูเอี๋ย” (สมยอม) กันระหว่างเจ้าของธุรกิจ กับ หมาต๋า

ดังที่ได้กล่าวมาแล้วว่า “อาบอบนวด” ทุกที่ถูกควบคุมไว้ด้วยกฎหมาย พรบ.สถานบริการ พ.ศ. 2509แต่ในความเป็นจริง หากใครอยากเปิดกิจการนี้ก็ต้องดั้นด้นหาใบอนุญาตสถานบริการประเภท “อาบอบนวด” ให้ได้

ใบอนุญาตมีทั้ง ผู้รับอนุญาตเป็นชื่อบริษัท หรือ เป็นห้างหุ้นส่วนจำกัด

หรือแม้กระทั่งเป็นชื่อบุคคลทั่วไป

แต่ก็มีกฎระเบียบ ห้ามจำหน่ายจ่ายโอนชื่อในใบอนุญาต พูดง่ายๆว่า กฎหมายห้ามซื้อขายใบอนุญาต

แต่สำหรับไทยแลนด์แล้วไม่มีปัญหา คือ หากเป็นบริษัท ห้างหุ้นส่วน ก็บอกแค่ผู้จัดการมีธุรกิจยุ่งเหยิง ต้องเดินทางไปต่างจังหวัดบ่อย ไม่มีเวลาดูแลกิจการ จึงโอนให้คนใหม่เป็นผู้จัดการแทน (คือคนซื้อใบอนุญาตคนใหม่นั่นเอง)

โดยขั้นตอนแรก เมื่อตกลงซื้อขายก็ให้คนซื้อโอนชื่อเข้ามาถือหุ้นก่อนสัก 1% ตอนรับมัดจำหลังจากนั้นค่อยโอนชื่อผู้รับอนุญาตให้เมื่อจ่ายหมด เสร็จสิ้นขั้นตอน ปรากฏชื่อและรูปถ่าย (ในใบอนุญาตจะมีรูปถ่ายติดด้วยว่าอนุญาตให้ใคร)

ส่วนที่เป็นใบอนุญาตชื่อบุคคลทั่วไป ก็ใช้วิธีไปฟ้องร้องศาล ว่านายคนที่ถือใบอนุญาตอาบอบนวดเป็นหนี้สินติดค้างเราอยู่ ไม่มีทรัพย์สินอื่นใดจะชำระ จึงขอให้ศาลกรุณาพิพากษาให้โอนใบอนุญาตใบนี้ให้เราเสียเป็นค่าชำระหนี้สินที่ค้าง

แค่นี้ก็สิ้นเรื่อง!

ตามใจจริงแล้วอยากจะเขียนให้ลึกและยาวไปกว่านี้ แต่เนื่องจากในบริบทนี้จะขอเน้นเรื่องเมียเช่ามากกว่า ส่วนเรื่องอาบอบนวดจึงขอเกริ่นเอาไว้แค่ให้รู้ถึงความเป็นมาเท่านั้นว่าเกิดมาได้อย่างไร

จากเมียเช่าได้พัฒนาการมาเป็นอาบอบนวดในยุคปัจจุบันได้ด้วยประการฉะนี้แล.