In News
ภารกิจนายกฯเวทีNikkei Forumที่ญี่ปุ่น ชง3แนวทางแก้ไขความท้าทายสู่ยุคดิจิทัล
กรุงเทพฯ-นายกฯ ย้ำทำงานต่อตามหน้าที่ พร้อมหารือทีมงาน ตอบคำถามตามความเป็นจริง และเจตนารมณ์//นายกฯ ให้สัมภาษณ์หลังเสร็จสิ้นภารกิจเดินทางกลับจากญี่ปุ่น ย้ำประสบความสำเร็จตามที่ตั้งใจทุกประการ ก่อนหน้านี้นายกฯ เน้นย้ำความร่วมมือกันของเอเชียบนเวที Nikkei Forum สร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนญี่ปุ่น เพื่อนำความเจริญรุ่งเรืองมาสู่ประชาชนทั้งภูมิภาคพร้อมร่วมมือนักลงทุนญี่ปุ่น เสนอ 3 แนวทางแก้ไขความท้าทาย มุ่งมั่นส่งเสริมการค้า-การลงทุน การเปลี่ยนผ่านสีเขียว และดิจิทัล
วันนี้ (24 พฤษภาคม 2567) เวลา 16.37 น. นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีตอบคำถามสื่อมวลชน ประเด็นศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้อง วินิจฉัยความเป็นรัฐมนตรีของนายเศรษฐา สิ้นสุดลงเฉพาะตัวหรือไม่ กรณีแต่งตั้งนายพิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี โดยให้ชี้แจงภายใน 15 วัน นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าจะมีการพูดคุยกับทีมงานในช่วงสุดสัปดาห์นี้ ย้ำอีกครั้งว่า เป็นธรรมดาของการเข้าสู่การเมือง ฝ่ายบริหารมีหน้าที่ต้องตอบคำถาม หากทางฝ่ายนิติบัญญัติหรือฝ่ายตุลาการมีความข้องใจ ถือเป็นหน้าที่ของฝ่ายบริหารที่จะต้องไปชี้แจง โดยนายกรัฐมนตรีมั่นใจในสิ่งที่ทำว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้อง และให้เกียรติศาลรัฐธรรมนูญด้วย ขอเตรียมข้อมูลก่อน
ในส่วนเรื่องความกังวล นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า อยู่ตรงนี้มีเรื่องให้กังวลทุกเรื่อง ทั้งเรื่องความเป็นอยู่ของประชาชน ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาความเหลื่อมล้ำ ความไม่เท่าเทียม และปัญหาที่ทาง สว. เรียกร้องกับศาลรัฐธรรมนูญ ก็มีความกังวลเช่นกัน
สำหรับประเด็นว่าอาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า เข้าใจดีว่ามีผลกระทบบ้าง แต่สิ่งที่ทำได้ตอนนี้คือ ทำงานต่อไป รัฐบาลก็ยังเดินหน้านโยบายต่าง ๆ ต่อไป
ในส่วนของการปรับคณะรัฐมนตรีนั้นต้องพิจารณาพูดคุยกันในหลายส่วนรวมทั้งพิจารณาร่วมกับพรรคร่วมรัฐบาลด้วย
นายกฯ ให้สัมภาษณ์หลังเสร็จสิ้นภารกิจเดินทางกลับจากญี่ปุ่น
และนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจเดินทางถึงประเทศไทย โดยนายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงภารกิจการเดินทาง 3 ประเทศ ฝรั่งเศส อิตาลี ญี่ปุ่น ที่ผ่านมา ดังนี้
ในส่วนของการเดินทางเยือนฝรั่งเศสเพื่อประชุม Thailand - France Business Forum ได้กล่าวปาฐกถาให้ภาคธุรกิจไทยและฝรั่งเศสเกือบ 100 บริษัท ด้านการขนส่ง Logistics พลังงาน ก่อสร้าง อาหาร ธุรกิจโรงแรม และห้างสรรพสินค้า ซึ่งมีผลการเจรจาที่ประสบความสำเร็จ ได้มีการลงนามระหว่างกันหลายด้าน ทั้งด้านความมั่นคง และการทหาร ซึ่งในช่วงการพบหารือ (four eyes) และหารือระหว่างอาหารกลางวัน กับประธานาธิบดีมาครง ได้พูดคุยกันอย่างใกล้ชิด หลากหลายมิติ เศรษฐกิจ การเมือง และสังคมเพื่อเป็นประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองฝ่าย
ฝ่ายฝรั่งเศสยืนยันสนับสนุนวีซ่าเชงเก้นให้ไทย เพิ่มเที่ยวบินระหว่างกัน จะมีการนัดประชุม Business Forum อีกครั้งในเดือนกันยายน 2567 ที่ประเทศไทย เชิญไทยเข้าร่วมการประชุม AI ในปีหน้า ที่ฝรั่งเศส สนับสนุนพลังงานสะอาด และความร่วมมือด้านเทคโนโลยี เกี่ยวกับการทหารและความมั่นคง ประเด็นระหว่างประเทศ อาทิ แคมเปญ Olympic ceasefire รณรงค์ให้หยุดยิงในช่วงการแข่งขัน Olympic และ สนับสนุนให้มีเวทีการพูดคุยที่ปลอดภัยสำหรับเมียนมา
อิตาลี ถือว่าเป็นการเยือนที่ประสบความสำเร็จ ได้เจอภาคธุรกิจสำคัญ ด้านแฟชั่น การเกษตร อาหาร การธนาคาร การเงิน และพลังงาน รวมทั้งสิ้น 13 บริษัท 3 องค์กร/สมาคม
แฟชั่น ได้พบกับ Zegna, Loro Piana, Versace, Bvlgari ประธานสมาคมแฟชั่นอิตาลี และสมาคมออกแบบอุตสาหกรรม ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้นำผ้าย้อมครามและเครื่องจักสาน โครงการในพระดำริของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา มาต่อยอด ขยายผลให้กับแบรนด์ระดับโลก และนำดอนกอยโมเดล ซึ่งคือชุมชนจังหวัดสกลนคร มาเผยแพร่หาความร่วมมือเพิ่มเติม รวมทั้งความร่วมมือระดับประชาชน People to People แลกเปลี่ยน เพิ่มพูนทักษะ โดยในวันจันทร์ที่จะถึงนี้ Zegna จะมาศึกษาวิธีย้อมครามในไทย
การเกษตร และอาหาร ได้ไปโรงงาน Boni โรงงานแปรรูปผลิตชีส และโรงงานแปรรูปเนื้อสัตว์เพิ่มคุณค่าสินค้าการเกษตร ศึกษาวิธีรับรอง ตรวจสอบคุณภาพที่เหมาะสม ทำให้สินค้ามีมูลค่าเพิ่ม ได้พบกับ Barilla บริษัทชั้นนำด้านการผลิตเส้นพาสต้า แสวงโอกาสหาความร่วมมือกับไทย
การเงินการธนาคาร พบกับ Intesa Sanpaolo หาความร่วมมือในการร่วมทุน ให้บริการทางการเงินกับนักลงทุน
พลังงานและการคมนาคม Eni เน้นด้าน Renewable Energy จากซากวัชพืช Leonardo ต้องการสร้างศูนย์ฝึกอบรมและสำนักงานภูมิภาคในไทย Generali บริษัทด้านการประกันภัยต้องการขายตลาดด้านการประกันภัยในไทย Ducati ต้องการส่งเสริม E-bike E-Motorbikeและ EV จัดการแข่งขัน Formula E และ Leitner เป็นบริษัทส่งเสริมการทำกระเช้าที่มาตรฐานสูงและปลอดภัย ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้เดินทางไปชมการแข่งขัน Formula 1 ที่สนาม Imola เพื่อศึกษานำการแข่งขันมาแข่งในไทย คาดว่าจะมีข่าวดีใน 60 วัน และ หวังจะได้เริ่มการแข่งขันปี 2027-2028
พบหารือกับนายกรัฐมนตรีอิตาลี ได้พูดคุยในหลากหลายประเด็น การค้าการลงทุน แฟชั่น และซอฟท์พาวเวอร์ อุตสาหกรรมอาหาร ความมั่นคงและการทหาร การยกเว้นการตรวจลงตราเชงเก้น FTA Thai-EU การสนับสนุนให้ไทยเป็นสมาชิก OECD
ญี่ปุ่น ร่วมการประชุมและกล่าวปาฐกถาในงาน Nikkei Forum Future of Asia เน้นย้ำความสำคัญของความร่วมมือเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น ซึ่งมีนักธุรกิจญี่ปุ่นสนใจรับฟังจำนวนมาก
เป็นโอกาสให้ได้พบหารือกับภาคเอกชนสำคัญของภาคธุรกิจญี่ปุ่น ได้แก่ Mitsui ส่งเสริมนโยบายรัฐบาลในการมุ่งสู่ Green Energy มีความร่วมมือกับบริษัทไทยศึกษาความเป็นไปได้ในการใช้ซากพืช
Ajinomoto ไทยเป็นฐานการผลิตนอกประเทศญี่ปุ่นแห่งแรก ขอบคุณศักยภาพเกษตรกรไทย พร้อมช่วยยกระดับเกษตรกรไทย
Sony ไทยเป็นโรงงานใหญ่ที่สุดในการผลิต Semiconductor และมีแนวโน้มจะลงทุนเพิ่ม นายกรัฐมนตรีเสนอให้ไทยเป็น Hub of hi-tech products เป็นศูนย์กลางของภูมิภาค เน้นการส่งออก รวมทั้งได้เสนอความร่วมมือด้าน E-Sport game
MUFG and Soft Bank ยินดีที่จะมีการสนับสนุนการลงทุนในไทย เพราะไทยเป็นกลางไม่เป็นคู่ขัดแย้งในเวทีระหว่างประเทศ บริษัทฯ มั่นใจที่ไทยมีความมั่นคง และสเถียรภาพ เชิญชวนให้บริษัทซึ่งมีศักยภาพด้านการส่งเสริม Startup และ SMEs สนับสนุนไทย
Nidec ผลิตสินค้าเทคโนโลยีขั้นสูง มีแผนการลงทุนในไทยปี 2567 มูลค่า 1 พัน 7 ร้อยล้านบาท สนับสนุนการลงทุนชิ้นส่วนสำคัญของ EV เสนอให้มหาวิทยาลัย พิจารณาขยายเวลา internship จาก 3 เดือน เป็น 1 ปี เพื่อพัฒนาทักษะแรงงานไทย โดยนายกรัฐมนตรีเสนอให้บรรจุพนักงานไทยเป็นพนักงานประจำ และมีการให้ทุนการศึกษาเด็กไทยด้วย
ทั้งนี้ วันที่ 20-21 มิถุนายน 2567 BOI และ ประธาน TTR จะเดินทางเยือน Osaka ติดตามความคืบหน้าตามที่ได้หารือไว้
นายกฯ เน้นย้ำความร่วมมือกันของเอเชียบนเวที Nikkei Forum
เวลาประมาณ 09.40 น. (ตามเวลาท้องถิ่นกรุงโตเกียว ซึ่งเร็วกว่ากรุงเทพฯ 2 ชั่วโมง) ณ โรงแรม Imperial กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เข้าร่วมการประชุม Nikkei Forum Future of Asia ครั้งที่ 29 (the 29th Nikkei Forum Future of Asia) พร้อมกล่าวปาฐกถาภายใต้หัวข้อ “Asian Leadership in an Uncertain World” (การเป็นผู้นำของเอเชียในบริบทโลกที่มี ความผันผวน) โดยนางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยสาระสำคัญ ดังนี้
นายกรัฐมนตรียินดีกับการร่วมประชุม Nikkei Forum Future of Asia เป็นครั้งแรกในปีนี้ โดยเดือนธันวาคมปีที่แล้วได้มาร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน-ญี่ปุ่น สมัยพิเศษ ฉลองวาระครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์อาเซียน-ญี่ปุ่น กำหนดเป็นทิศทางการทำงานในอนาคตร่วมกัน บนพื้นฐานของความไว้วางใจซึ่งกันและกัน และความเป็นหุ้นส่วนแบบใจถึงใจ “Heart-to-heart” กับญี่ปุ่นพันธมิตรที่เก่าแก่
ปัจจุบันโลกกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลง และความท้าทายครั้งใหญ่ ตั้งแต่ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ เศรษฐกิจ ความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม รวมทั้ง ผลกระทบของโควิด-19 แต่นายกรัฐมนตรีมองว่าเป็นโอกาสสำหรับภูมิภาคที่จะมีบทบาท พร้อมนำเสนอความท้าทายเพื่อนำไปสู่ความร่วมมือ 3 ประการ เพื่อแก้ไขปัญหาร่วมกัน ดังนี้
ความท้าทายแรก ภูมิภาคเอเชียเปรียบเสมือนจุดสมดุล ซึ่งตลอดหลายปีที่ผ่านมามหาอำนาจ พยายามรักษา 'ความสมดุล' ที่เหมาะสมในการดำเนินความร่วมมือกับภูมิภาคเอเชีย ซึ่งทำให้เอเชียอยู่ในจุดสำคัญที่ไม่เหมือนใครในเวทีโลก
โดยเฉพาะอาเซียนที่มุ่งมั่นรักษาความเป็นแกนกลางและดำเนินความร่วมมือกันเพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง ทั้งจากสถานการณ์ในเมียนมา ไต้หวัน หรือทะเลจีนใต้ ตลอดจนความขัดแย้งในยูเครนและตะวันออกกลาง ทั้งนี้ แม้จะมีความท้าทายแต่เป้าหมายสำคัญที่ทุกฝ่ายควรมี คือนำความมั่งคั่งเจริญรุ่งเรืองในระยะยาวมาสู่ประชาชน รวมถึงรักษาสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาค แม้อาเซียนจะไม่เข้าข้างฝ่ายใด แต่อาเซียนมีจุดยืนที่ยังคงระมัดระวัง (ASEAN doesn’t take sides, it doesn’t mean we do not take a stand) และต้องมุ่งมั่นที่จะปกป้องผลประโยชน์บนความเชื่อพื้นฐาน เช่น สถานการณ์ในเมียนมา อาเซียนกำลังทำงานร่วมกันเพื่อให้เกิด สันติสุข มั่นคง และเป็นเอกภาพ พร้อมอยากเห็นเมียนมากลับมาบนเส้นทางประชาธิปไตยอีกครั้ง ไทยสนับสนุนการเจรจาสันติภาพระหว่างฝ่ายต่าง ๆ และประสานงานอย่างใกล้ชิดกับ สปป.ลาว ในฐานะประธานอาเซียน ประเทศเพื่อนบ้านของเมียนมา และพันธมิตรอื่น ๆ รวมถึงยกระดับความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมสำหรับชาวเมียนมาตามแนว ชายแดนของไทย สิ่งเหล่านี้เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่า เอเชียสามารถเป็นผู้นำผ่านความพยายามร่วมกันและเสียงที่เป็นเอกภาพ เพราะเมื่อรวมกันแล้ว เสียงของเราจะดังที่สุด (Because together, we speak loudest)
ความท้าทายที่สอง มีหลายคนกล่าวว่าความร่วมมือ พหุภาคีและโลกาภิวัตน์กำลังลดลง มหาอำนาจแข่งขันกันเอง ซึ่งนายกรัฐมนตรียังมองเห็นโอกาส ฟื้นคืนจิตวิญญาณของความร่วมมือ และโอกาส เสริมสร้างความร่วมมือระดับภูมิภาค และระหว่างภูมิภาคที่เปิดกว้างและมองไปยังโลกภายนอก ซึ่งประเทศในเอเชียควรร่วมมือกันและทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดยิ่งขึ้น
ความท้าทายที่สาม โลกกำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว และเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีครั้งใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น Internet of Things AI เทคโนโลยีทางการเงิน ควอนตัมคอมพิวเตอร์ บล็อกเชน ทำให้เกิดการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ก้าวข้ามขอบเขต ซึ่งต้องคำนึงถึงผลกระทบด้วย ไม่ว่าจะเป็นประโยชน์หรือ ความเสียหาย ต้องเตรียมคนให้พร้อม ต้องสร้างสมดุล ทั้งส่งเสริมการศึกษาในระบบ เพิ่มทักษะความรู้ด้านดิจิทัล รวมถึงออกกฎหมายและกฎระเบียบที่ส่งเสริมนวัตกรรม
นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงการเสริมสร้างความยืดหยุ่นเพื่อรับมือกับความท้าทายภายในเอเชีย ซึ่งสิ่งนี้เป็นจุดที่ภูมิภาคเอเชียสามารถสร้างความแตกต่างได้ เพราะไม่มีประเทศใดจะรับมือได้เพียง ลำพัง และในศตวรรษแห่งเอเชีย (Asian Century) นี้ ประเทศในเอเชียจะต้องอยู่ร่วมกัน และแสดงบทบาทนำในเวทีโลกต่อไป ภูมิภาคเอเชียเป็นผู้ผลิตและครัวของโลก มีความสำคัญในห่วงโซ่อุปทานโลก เป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ มีประชากรมากกว่า 4.78 พันล้านคน ซึ่งมากกว่าครึ่งหนึ่งของประชากรโลก โดยนายกรัฐมนตรีได้นำเสนอถึงประเด็นความร่วมมือเร่งด่วน 3 ประการ ดังนี้
ประการแรก การค้าและการลงทุน ความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจเป็นรากฐานของสันติภาพและเสถียรภาพ ช่วยส่งเสริมการพัฒนาทางสังคมและมนุษย์ การเติบโตทางเศรษฐกิจจึงส่งผลสำคัญ ทำให้ประชาชนสามารถเติบโตได้ ช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ผลกระทบจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ทั่วโลก นำไปสู่ปรากฏการณ์ของการย้ายฐานการผลิตกลับสู่ประเทศแม่และประเทศใกล้เคียง รวมไปถึงการย้ายฐานการผลิตไปสู่ประเทศพันธมิตรที่มีความปลอดภัย ทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจโลกหยุดชะงัก ภูมิภาคเอเชียจะต้องปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ใหม่เหล่านี้
ภูมิภาคเอเชียเป็นหนึ่งในภูมิภาคที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดจากการระบาดใหญ่ของโควิด-19 แต่ก็เป็นหนึ่งในภูมิภาคที่ฟื้นตัวได้เร็วที่สุด สามารถต่อสู้กับความท้าทาย มีอิทธิพลและมีความสำคัญเชิงกลยุทธ์มากขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปและมั่นคง โดยในอนาคต ภูมิภาคเอเชียควรส่งเสริมระบบการค้าแบบพหุภาคีร่วมกับ WTO พร้อมส่งเสริมสภาพแวดล้อมการค้าและการลงทุนที่เสรี เปิดกว้าง ยุติธรรม ไม่เลือกปฏิบัติ โปร่งใส และครอบคลุมต่อไป ภูมิภาคเอเชียเดินทางมาไกลผ่านความร่วมมือทาง เศรษฐกิจระดับภูมิภาค เช่น RCEP ซึ่งสร้างขึ้นจากความตกลงการค้าเสรี (FTA) อาเซียน+1 ที่มีอยู่กับพันธมิตร ซึ่งรวมถึงญี่ปุ่น ทำให้เกิดเป็น FTA ขนาดใหญ่ที่สุด และมี GDP รวมคิดเป็น 1 ใน 3 ของประชากรโลก อย่างไรก็ดี ศักยภาพ ความร่วมมือทางเศรษฐกิจของเอเชียที่สามารถเติบโตได้มากขึ้น โดยเชื่อว่าการเจรจา FTA ควรมีความสำคัญสูงสุด ต้องใช้เขตการค้าเสรีเพื่อส่งเสริมการค้า การลงทุน และตลาดสินค้าที่หลากหลาย ปัจจุบันไทยได้ลงนาม FTA 15 ฉบับกับ 19 ประเทศ โดยล่าสุดกับศรีลังกา และอีก 7 ความตกลงที่อยู่ระหว่างดำเนินการ รวมถึง EU และ EFTA ด้วย
นอกจากนี้ ไทยแสดงเจตจำนงร่วมเป็นสมาชิก OECD พร้อมขอบคุณญี่ปุ่นสำหรับการสนับสนุน และแสดงบทบาทสำคัญในการส่งเสริมการมีส่วนร่วมระหว่าง OECD กับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มากขึ้น โดยไทยอยู่ระหว่างการปรับปรุงสภาพแวดล้อมทางการลงทุนและยกระดับมาตรฐาน มุ่งมั่นที่จะเสริมสร้างระบบนิเวศในการดำเนินธุรกิจ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันระดับโลกเพื่อรักษาและดึงดูดนักลงทุน
ประการที่สอง การเปลี่ยนผ่านสีเขียว การรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่าย เป็นความรับผิดชอบของทุกคน โดยสามารถเริ่มต้นได้ตั้งแต่ที่บ้าน(Being green starts at home) ซึ่งในความพยายามอย่างต่อเนื่องของรัฐบาลในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก พ.ร.บ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ฉบับแรกของประเทศไทยจะมีผลบังคับใช้ภายในไม่กี่ปีข้างหน้า นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้จัดตั้งกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม เพื่อดูแลการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศโดยรวมของประเทศไทยมีความก้าวหน้าอย่างมาก โดยเฉพาะภาคพลังงานและการขนส่ง โดยไทยยินดีรับการลงทุนเพิ่มเติมในด้านไฮโดรเจนสีเขียว และเทคโนโลยีดักจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ รวมถึง การขยายตลาดคาร์บอนเครดิต ขณะที่ด้านการขนส่ง รัฐบาลกำลังเดินหน้าสู่การเป็นศูนย์กลางคมนาคมแห่งอนาคต และสร้างอุตสาหกรรมห่วงโซ่อุปทานยานยนต์ไฟฟ้า(EV) ที่ครอบคลุม โดยเป้าหมายแรกคือ การเพิ่มการผลิต EV ที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ให้ได้ 30% ภายใน ปี ค.ศ. 2030 อย่างไรก็ตาม รัฐบาลยังคงสนับสนุนผู้ผลิตรถยนต์เครื่องยนต์สันดาป (ICE) ของญี่ปุ่นในช่วงของการเปลี่ยนผ่านนี้ โดยไทยให้ความสำคัญกับญี่ปุ่น และนักลงทุนชาวญี่ปุ่นที่มีบทบาทสำคัญมายาวนาน ในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศไทย
นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงความร่วมมือของอาเซียน ในการใช้พลังงานสะอาดและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งประเทศในอาเซียนอยู่ระหว่างการก่อสร้างโครงการเชื่อมโยงระบบส่งไฟฟ้าในภูมิภาคอาเซียน (ASEAN Power Grid) ที่จะช่วย เพิ่มส่วนแบ่งของพลังงานหมุนเวียนในภูมิภาค โดยประเทศไทยมีแนวทางจะเพิ่มส่วนแบ่งของพลังงานสะอาด และพลังงานหมุนเวียนในการผลิตไฟฟ้าให้ได้อย่างน้อย 50% ภายในปี ค.ศ. 2040 ภาคเอกชน และสถาบันการเงินเป็นส่วนสำคัญ สำหรับการสร้างระบบนิเวศ และโครงสร้างพื้นฐานสำหรับพลังงานสะอาดนี้ โดยควรจัดให้มีสิทธิประโยชน์ ทั้งด้านภาษีและที่ไม่ใช่ภาษีให้เหมาะสม ซึ่งการเงินที่ยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สามารถเป็นแรงผลักดันหลักได้ โดยประเทศไทยได้ออกตราสารหนี้สีเขียว (Green bonds) ตั้งแต่ ปี ค.ศ. 2021 และจะมีการออกตราสารหนี้ที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืนเพิ่มเติมในปีนี้ ซึ่งมีมูลค่า ประมาณ 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยยินดีต้อนรับนักลงทุนทุกคนให้เข้ามามีส่วนร่วมขับเคลื่อนภูมิภาคไปสู่อนาคตที่ยั่งยืนมากขึ้น
ประการที่สาม การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล โลกที่เชื่อมต่อกันทางดิจิทัล ไม่เพียงแต่เชื่อมต่อทางเศรษฐกิจดิจิทัลเท่านั้น แต่ยังสร้างสังคมดิจิทัลเต็มรูปแบบ ซึ่งการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลกลายเป็นส่วนหนึ่งใน ชีวิตประจำวัน โดยประเทศไทย ประชาชนที่มีความสนใจทางดิจิทัลได้เริ่มเดินหน้าไปสู่การเปลี่ยนผ่านนี้แล้ว โดยเป็นผลสืบเนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 ที่ทำให้ระบบการชำระเงิน ผ่านคิวอาร์โค้ดขยายตัวรวดเร็ว แอปพลิเคชันส่ง อาหาร และการซื้อของออนไลน์ได้กลายเป็นสิ่งจำเป็น โดยปัจจุบันระบบการชำระเงินข้ามพรมแดนของไทยเชื่อมโยงกับหลายประเทศแล้ว ส่วนใหญ่เป็นประเทศในกลุ่มอาเซียน รวมถึงญี่ปุ่นซึ่งเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของคน ไทย
เมื่อช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา CEO ของ Microsoft ประกาศแผนการลงทุนสำหรับอนาคตที่ขับเคลื่อนด้วยดิจิทัลและ AI ผ่าน Data Center ระดับภูมิภาคแห่งใหม่ในประเทศไทย พร้อมด้วยโครงการอื่น ๆ ที่จะพัฒนาทักษะให้กับบุคลากรรุ่น ใหม่ที่มีความสามารถด้านดิจิทัล และบุคลากรด้านเทคโนโลยีทั่วทั้งอาเซียน โดยถือเป็นการพัฒนาที่ล้ำหน้า และสำคัญต่ออุตสาหกรรมดิจิทัลที่มี เทคโนโลยีขั้นสูงและคลาวด์ที่กำลังเติบโต สิ่งนี้จะช่วยให้ไทยสามารถใช้ประโยชน์จากศักยภาพมหาศาลทางเศรษฐกิจดิจิทัลได้อย่างเต็มที่ นอกจากนี้ อาเซียนอยู่ระหว่างการเจรจากรอบความตกลงเศรษฐกิจดิจิทัล (Digital Economy Framework Agreement: DEFA) ซึ่งหากเสร็จสิ้นจะกลายเป็นข้อตกลงระดับภูมิภาคฉบับแรกของโลก โดยคาดว่าจะเพิ่มมูลค่าเศรษฐกิจดิจิทัล ของภูมิภาคเป็นสองเท่า หรือ 2 ล้านล้าน ดอลลาร์สหรัฐภายในปี ค.ศ. 2030
นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่า ทั้งสามประการข้างต้นจะนำภูมิภาคเอเชียเข้าใกล้โลกที่ปรารถนาที่จะเห็นมากยิ่งขึ้น โดยแต่ละประเทศต้องมีความรับผิดชอบร่วมกัน เพราะไม่มีใครสามารถบรรลุเป้าหมายนี้ได้โดยลำพัง เวทีการประชุมอย่าง Nikkei Forum นี้ จึงควรประสานความร่วมมือ โดยนำภาครัฐและเอกชนมาหารือร่วมกันแบ่งปันความคิด แนวปฏิบัติที่เป็นเลิศ และบทเรียนร่วมกัน เพราะทุกคนที่อยู่ในชุมชนธุรกิจเหล่านี้ล้วนอยู่เบื้องหลังการเติบโตของเอเชียอย่างแท้จริง
ในช่วงท้าย นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำว่า เอเชียจะต้องรักษาบทบาทนำร่วมกัน เพื่อจุดประกายการเติบโต และฟื้นฟูความไว้เนื้อเชื่อใจกันในระบบโลก ซึ่งช่วยสร้างความแข็งแกร่งในยุค Asian Century ขณะนี้ถึงเวลาสู่การปฏิบัติ พร้อมขอให้มั่นใจว่าไม่ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร ไทยจะยืนเคียงข้างญี่ปุ่น