Biz news

KBankร่วมLombard Odierลงทุนยั่งยืน



กรุงเทพฯ- KBank Private Banking ร่วมกับ Lombard Odier พันธมิตรทางธุรกิจ ซึ่งเป็นไพรเวทแบงก์ระดับโลกจากสวิตเซอร์แลนด์ จัดงาน Live Streaming Conference จากเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ในหัวข้อ “RETHINK PERSPECTIVE: PATH TO PANDEMIC RECOVERY” เพื่อเจาะลึกแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่กำลังเปลี่ยนโฉมหลังการระบาดครั้งใหญ่ของโรคโควิด 19 รวมถึงแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจทั่วโลกที่เร่งขึ้นจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนานใหญ่ ส่งผลให้ตลาดกำลังเปลี่ยนแปลงและโอกาสในการลงทุนกำลังเปลี่ยนไป เพื่อให้พอร์ตการลงทุนยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องในยุค Post-COVID โดยมุมมองจากผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์และกลยุทธ์การลงทุนระดับโลกของ Lombard Odier 

ดร.แซมมี่ ชาร์ หัวหน้าทีมนักเศรษฐศาสตร์ Lombard Odier มองภาพรวมเศรษฐกิจว่า “การฟื้นตัวของเศรษฐกิจทั่วโลกยังไม่ทั่วถึง ด้วยความแตกต่างของความสามารถในการกระจายวัคซีน ทำให้ประเทศที่กระจายวัคซีนได้รวดเร็ว อย่างสหรัฐฯ สหราชอาณาจักร และประเทศในยุโรป กิจกรรมทางเศรษฐกิจเริ่มทยอยกลับมาเป็นปกติ ส่งผลให้เศรษฐกิจฟื้นตัวได้เร็วกว่าประเทศอื่น โดยคาดว่าจะก่อให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ หรือ Herd Immunity ได้ในไตรมาส 3 ของปีนี้”  

“นอกจากนี้ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยเฉพาะของสหรัฐฯ อย่าง มาตรการเยียวยาจากวิกฤตโควิด 19 มูลค่า 1.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ที่ช่วยกระตุ้นการบริโภคในประเทศเป็นหลัก และยังมีวงเงินลงทุนระยะยาวในโครงสร้างพื้นฐาน มูลค่า 2.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และ American Families Plan ที่เน้นดูแลเด็กและการศึกษา มูลค่า 1.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นตัวเร่งสำคัญที่ส่งให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ กลับมาฟื้นตัวได้ดี ในด้านการขึ้นภาษีในสหรัฐฯ ที่จะสร้างรายได้เพื่อชดเชยมาตรการทางการคลังคาดว่าจะเกิดขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป และส่งผลกระทบไม่มาก โดยรวมคาดว่าประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจะมากกว่าผลเสียจากการขึ้นภาษี ที่เน้นการขึ้นภาษีคนรวยเป็นหลัก ในขณะเดียวกันการขึ้นภาษีรายได้จากการขายสินทรัพย์ในตลาดหุ้น หรือ Capital Gain Tax คาดว่าคงไม่สามารถขึ้นภาษีได้ถึง 39% แต่อาจจะขึ้นจาก 20% เป็น 30% เท่านั้น” 

จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่แตกต่างกันไปในแต่ละภูมิภาค มร.สเตฟาน โมเนียร์ ผู้บริหารการลงทุนระดับสูง Lombard Odier มีมุมมองต่อตลาดหุ้นในแต่ละภูมิภาค รวมทั้งสินทรัพย์ประเภทอื่นๆ แตกต่างกันไป ดังนี้ 

  • หุ้นกลุ่มตลาดเกิดใหม่ หุ้นยุโรป และตราสารหนี้ตลาดเกิดใหม่ น่าจะให้ผลตอบแทนดีที่สุด ในอีก 1 ปี ข้างหน้า  
  • บริษัทจดทะเบียนในสหราชอาณาจักร ตลาดเกิดใหม่ และยุโรป มีกำไรสุทธิต่อหุ้น หรือ Earing จะเติบโตได้ดีกว่าภูมิภาคอื่น 
  • ในช่วงเศรษฐกิจฟื้นตัว คาดว่าหุ้นคุณค่า หรือ Value Stock จะมีผลตอบแทนที่โดดเด่นกว่าหุ้นกลุ่มเติบโต หรือ Growth Stock แม้ราคาต่อหุ้นจะค่อนข้างแพง แต่การเติบโตของกำไรสุทธิต่อหุ้น หรือ Earning ยังคงสนับสนุนให้น่าสนใจต่อเนื่อง 
  • ในทางกลับกัน มองว่า ทองคำ ตราสารหนี้ยุโรป และตราสารหนี้ในสหรัฐฯ ให้ผลตอบแทนน้อยที่สุด จากการคาดการณ์ว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี จะอยู่ที่ 2.0% ณ สิ้นปี 2564 และ 2.5% ในอีก 12-18 เดือนข้างหน้า ซึ่งส่งผลกระทบทางลบต่อผลตอบแทนทองคำ 

ส่วนมุมมองต่อกระแส Bitcoin มร. สเตฟานกล่าวต่อว่า “มีโอกาสที่ทั่วโลกจะใช้ Cryptocurrency แพร่หลายมากขึ้นในอนาคต และเชื่อว่าเทคโนโลยี Block Chain จะเข้ามามีบทบาทในโลกการเงินมากขึ้น แต่ในแง่ของการลงทุนนั้นมองว่ายังมีความเสี่ยงอยู่มาก เพราะ 1) ไม่สามารถประเมินมูลค่าได้ ราคาเคลื่อนไหวตาม Demand-Supply    2) นวัตกรรมและเทคโนโลยีอาจทำให้มี Crypto Asset ใหม่ๆ ที่ได้รับความนิยมและประสบความสำเร็จมากกว่า Bitcoin” 

ด้านกลยุทธ์การลงทุน Lombard Odier ยึดหลักลงทุนโดยการกระจายการลงทุนในหลายสินทรัพย์ 

  • หุ้น และกระจายการลงทุนทั้ง Growth + Value Stock ให้ความสำคัญกับการลงทุนในหุ้นยั่งยืน 
  • ตราสารหนี้ โดยเน้นลงทุนในจีน เพราะมีผลตอบแทนที่น่าดึงดูด 
  • เติมเต็มพอร์ตด้วย Private Assets (โดยเฉพาะ Private Equity) เพื่อเพิ่มผลตอบแทนในระยะยาว 

เช่นเดียวกับมุมมองจาก Lombard Odier “ท่ามกลางสภาวะตลาดปัจจุบันที่มีความผันผวนสูง แต่แนวโน้มเศรษฐกิจกำลังอยู่ในช่วงฟื้นตัวจากการทยอยเปิดเมือง จากการเร่งฉีดวัคซีนในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว โดยเฉพาะสหรัฐฯ และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะยาว ถือเป็นปัจจัยเอื้อต่อตลาดหุ้น และธนาคารฯ ยังคงเชื่อมั่นว่าการลงทุนระยะยาว ผ่านการกระจายการลงทุนในหลายสินทรัพย์เพื่อลดความผันผวนของพอร์ตการลงทุนในระยะสั้น อีกทั้งยังคงเน้นการลงทุนหุ้นในธีม Winner of New Economy, Health is Wealth และ Save the World ที่ล้วนมีปัจจัยสนับสนุนเฉพาะ รวมไปถึงความสามารถในการคัดเลือกหุ้นของผู้จัดการกองทุนชั้นนำของโลก ที่สามารถให้ผลตอบแทนที่ดีได้ในระยะยาว” นายจิรวัฒน์ สุภรณ์ไพบูลย์ Private Banking Group Head ธนาคารกสิกรไทย กล่าวปิดท้าย