In News

ภารกิจนายกฯร่วมประชุมUBS ณ ฮ่องกง หารือผู้บริหารเกาะ-บริษัทชั้นนำ-ตอบสื่อ



นายกฯ หารือ นายจอห์น ลี คา-ชิว ผู้บริหารสูงสุดเขตบริหารพิเศษฮ่องกง มุ่งมั่นกระชับความร่วมมือการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว ระหว่างไทย-ฮ่องกงให้ใกล้ชิด และที่สนามบินสุวรรณภูมิ นายกฯให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน มั่นใจทำงานร่วมกับนายวิษณุ เครืองาม เพื่อผลประโยชน์ของประชาชน และประเทศชาติ ความไม่เห็นด้วย เป็นแค่บางประเด็น เป็นเรื่องของความไม่ใช่เรื่องของคนสามารถทำงานร่วมกันได้ และก่อนเดินทางกลับ ณ เขตบริหารพิเศษฮ่องกง สาธารณรัฐประชาชนจีน นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ภายหลังเข้าร่วมงาน UBS Asian Investment Conference (AIC) 2024 โดยได้สรุปภาพรวมการทำงานในวันนี้ และได้หารือกับริชาร์ด หลี่ นักธุรกิจชาวฮ่องกง สนใจขยายการลงทุนในไทยด้านโครงการก่อสร้างพื้นฐาน เชื่อมั่นในนายกรัฐมนตรีและนโยบายรัฐบาลและนายกฯ ร่วมงาน UBS Asian Investment Conference (AIC) 2024 เน้นย้ำไทยพร้อมเปิดรับการลงทุนจากต่างชาตินำเสนอนโยบายเศรษฐกิจ ความพร้อมของไทย เชิญชวนภาคเอกชนมาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยเพื่อความสำเร็จร่วมกัน

วันนี้ (29 พฤษภาคม 2567) เวลา 11.45 น. (เวลาท้องถิ่นฮ่องกง) ณ ห้อง Drawing สำนักงานผู้บริหารสูงสุดเขตบริหารพิเศษฮ่องกง เขตบริหารพิเศษฮ่องกง สาธารณรัฐประชาชนจีน นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี พบหารือกับนายจอห์น ลี คา-ชิว (The Honorable John Lee Ka-chiu) ผู้บริหารสูงสุดเขตบริหารพิเศษฮ่องกง โดยสรุปสาระสำคัญการหารือดังนี้

นายกรัฐมนตรีและผู้บริหารสูงสุดเขตบริหารพิเศษฮ่องกง ต่างยินดีที่ได้พบกันอีกครั้งหลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้พบหารือทวิภาคีกันเมื่อครั้งนายกรัฐมนตรีเดินทางเยือนเขตบริหารพิเศษฮ่องกงเมื่อเดือนตุลาคม ปี 2566 โดยไทยและฮ่องกงมีความร่วมมือใกล้ชิดทางเศรษฐกิจ ซึ่งมูลค้าทางการค้าระหว่างกันมีตัวเลขที่สูงขึ้น พร้อมพูดคุยเพื่อส่งเสริมการค้าและการลงทุนให้เพิ่มขึ้น โดยฝ่ายฮ่องกงชื่นชมนายกรัฐมนตรีที่มีวิสัยทัศน์ที่เอื้อประโยชน์ต่อการลงทุน และนายกรัฐมนตรีชื่นชมศักยภาพของฮ่องกงที่มีความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานซึ่งดึงดูดการลงทุน รวมถึงมีความพร้อมในการจัดการประชุมด้วย

สำหรับการท่องเที่ยว ทั้งสองฝ่ายพร้อมแลกเปลี่ยนนักท่องเที่ยว โดยไทยขอบคุณที่ฝ่ายฮ่องกงยินดีให้ไทยมาจัดงานสงกรานต์ที่ฮ่องกง ทำให้นักท่องเที่ยวเดินทางไปมาหาสู่กันเพิ่มขึ้น  ทั้งสองฝ่ายพร้อมทำงานร่วมกันต่อไป เพื่อส่งเสริมความร่วมมือทางการค้าและการลงทุนให้ใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น

นายกฯให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน มั่นใจทำงานร่วมกับนายวิษณุ เครืองาม เพื่อผลประโยชน์ของประชาชน 

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน ณ สนามบินสุวรรณภูมิ หลังจากเดินทางกลับจากการเข้าร่วมงาน UBS AIC 2024 ณ เขตบริหารพิเศษฮ่องกง 

นายกรัฐมนตรีตอบคำถามเกี่ยวกับความเห็นกฤษฎีกา กรณีการดำเนินการเกี่ยวกับการให้ข้าราชการตำรวจ (พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร.) ออกจากราชการไว้ก่อนนั้น ยังไม่ถูกต้องสมบูรณ์ โดยขอใช้คำว่ายังไม่สมบูรณ์ เชื่อว่าหากเป็นการทักท้วงมาต้องรับฟัง และให้ดำเนินการต่อไป อย่างรัฐอบคอบ ดำเนินการตามกฎหมายให้ถูกต้อง ทั้งนี้ นายกกล่าวว่ากังวลใจต่อทุกเรื่อง เนื่องจากต้องการทำให้ถูกต้อง และแต่ละเรื่องมีรายละเอียดปลีกย่อย มีหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องรับฟังความคิดเห็นให้ครบถ้วน และมีลำดับขั้นตอนก่อนหลัง 

ส่วนกรณีการแต่งตั้งนายวิษณุ เครืองาม เป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ในฐานะส่วนตัวมีความเห็นที่แตกต่างกันบ้าง และมีความชื่นชมในตัวของนายวิษณุหลายเรื่อง  ซึ่งอาจจะไม่เห็นด้วยบางเรื่องเหมือนกับการดำรงชีวิตร่วมกันในสังคม ในครอบครัว สิ่งที่มีความเห็นไม่ตรงกันเป็นเรื่องของความ ไม่ใช่เรื่องของคน  และถือว่าเป็นความสวยงามของระบอบประชาธิปไตย นายวิษณุเป็นคนที่มีความรู้ความสามารถเชื่อว่าสามารถสื่อสารกันได้ ทำงานร่วมกันเพื่อประโยชน์ของพี่น้องประชาชนและประเทศชาติได้

ทั้งนี้ ในส่วนหน้าที่ของนายวิษณุขอดูที่ตัวเอกสารอีกครั้งโดยเป็นการแต่งตั้งเพื่อให้เป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีมีงานในอำนาจหน้าที่หลายหลายเรื่องไม่ได้เป็นการแต่งตั้งเพื่อนำมาช่วยเรื่องใดเรื่องหนึ่ง 

กรณี ดำเนินคดีนายทักษิณฯ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าให้ความเคารพต่อศาลยุติธรรมในเรื่องของรายละเอียด ขอให้เคารพระบบตุลาการ ซึ่งอยู่ในกระบวนการยุติธรรม ขอให้เป็นไปตามขั้นตอนและกระบวนการยุติธรรมที่ถูกต้อง ส่วนการลงพื้นที่ร่วมกัน ยังไม่เคยมีการพูดคุยว่าจะลงพื้นที่พร้อมกัน และไม่ทราบว่ามีความประสงค์ว่าจะลงพื้นที่หรือไม่ ไม่เคยมีการพูดคุยกันเรื่องนี้ และได้ตอบคำถามเกี่ยวกับการกระทบภาพลักษณ์หรือไม่อย่างไร นายกรัฐมนตรีได้ตอบว่าในส่วนของรัฐบาลมีการแยกแยะการทำงานอย่างชัดเจน

นายกฯ ให้สัมภาษณ์ ภายหลังเข้าร่วมงาน UBS Asian Investment Conference (AIC) 2024 มุ่งเชิญชวนนักลงทุน เสนอความพร้อม ศักยภาพประเทศไทยต่อการลงทุน ย้ำวิสัยทัศน์ IGNITE Thailand

ก่อนเดินทางกลับนายให้สัมภาษณ์ภายหลังเข้าร่วมงานUBS Asian Investment Conference (AIC) 2024 โดยได้สรุปภาพรวมการทำงานในวันนี้ 

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ก่อนเข้าร่วมงาน UBS Asian Investment Conference (AIC) ได้พบนักลงทุน (Chief Investment Officer Meeting: CIO Meeting) ประมาณ 20 กองทุน พูดคุยหารือเรื่องการเข้ามาลงทุนในประเทศไทย แนวทางการทำงานของนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่เข้ามาดำรงตำแหน่ง 10 เดือนได้เดินหน้าทำงานอะไรไปแล้วบ้าง และหน้าที่หลักต่อไปก็คือการดึงดูดนักลงทุนจากต่างประเทศให้มาประเทศไทย ซึ่งได้รับความสนใจที่ดีพอสมควร โดยสิ่งที่ต่อเนื่องจากการจัดงานวันนี้ คือสถาบันการเงิน UBS จะจัดนักลงทุนเพื่อไปพูดคุยที่ประเทศไทยเพื่อขยายความร่วมมืออย่างต่อเนื่อง 

จากนั้นก็ไปกล่าวปาฐกถาพิเศษในงาน UBS Asian Investment Conference (AIC) ซึ่งได้ฉายภาพถึงวิสัยทัศน์ IGNITE Thailand ทั้ง 8 ด้าน เชื่อว่าจะเป็นประโยชน์สำหรับประเทศไทย

พบหารือกับ นายจอห์น ลี คา-ชิว (The Honorable John Lee Ka-chiu) ผู้บริหารสูงสุดเขตบริหารพิเศษฮ่องกง หารือเกี่ยวกับการแลกเปลี่ยนนักท่องเที่ยว ได้มีการขอบคุณที่ประเทศไทยมาจัดงานสงกรานต์ที่ฮ่องกง และนักท่องเที่ยวไทยได้รับการดูแลที่ดี ฮ่องกงเอง trade volume สูงขึ้นประมาณ 7% มีความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างทั้งสองฝ่ายก็ถือเป็นเรื่องที่ดี

นายกฯหารือกับริชาร์ด หลี่ นักธุรกิจชาวฮ่องกง สนใจขยายการลงทุนในไทย

วันนี้ช่วงเวลา 11.15 น. (เวลาท้องถิ่นฮ่องกง) ณ ห้อง Victoria II โรงแรม Four Seasons เขตบริหารพิเศษฮ่องกง สาธารณรัฐประชาชนจีน นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี พบหารือกับนายริชาร์ด หลี่ (Mr. Richard Li) นักธุรกิจฮ่องกง ซึ่งประกอบธุรกิจด้านประกันชีวิตและสาธารณูปโภคพื้นฐานด้านโทรคมนาคมของฮ่องกง มีบริษัทในเครือหลากหลายบริษัท ทั้งบริษัท Hong Kong Telecom บริษัท Pacific Century Group บริษัท Pacific Century CyberWorks Limited และ
บริษัท FWD

นายกรัฐมนตรีและนายริชาร์ด หลี่ หารือถึงความร่วมมือโครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน โดยนายกรัฐมนตรียินดีเชิญชวนบริษัทของนายริชาร์ดฯ ร่วมการลงทุนในประเทศไทย 

โอกาสนี้ ทั้งสองได้หารือเรื่องนโยบายทางการเงินการคลังของไทย และอัตราดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งนายกรัฐมนตรีพร้อมรับฟัง และนำข้อเสนอแนะมาพิจารณา เพื่ออำนวยความสะดวกการดำเนินธุรกิจระหว่างไทยและฮ่องกงให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

นายกฯ ร่วมงาน UBS Asian Investment Conference (AIC) 2024

วันนี้ เวลา 10.45 น (เวลาท้องถิ่นฮ่องกง) ณ ห้อง Grand Ballroom โรงแรม Four Seasons เขตบริหารพิเศษฮ่องกง นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เข้าร่วมงาน UBS Asian Investment Conference (AIC) 2024 งานรวมตัวของภาคธุรกิจ นักลงทุนจากสถาบันการเงินทั่วโลก และบุคคลที่มีชื่อเสียงในภาคธุรกิจ มากกว่า 2,000 ราย รวมทั้งบริษัทในเอเชียแปซิฟิก 300 แห่ง ซึ่งได้มาหารือกันถึงสถานการณ์เศรษฐกิจโลก และการค้า การลงทุน ในภาคต่าง ๆ 

โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวปาฐกถาในหัวข้อ “Wisdom: An eye on the past, a view to the future” ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายและวิสัยทัศน์ของรัฐบาล ที่นำภูมิปัญญา หรือ Wisdom จากประสบการณ์ในอดีต มาเป็นแนวทางในการรับมือกับความท้าทาย และกำหนดอนาคตของประเทศไทย โดยความยืดหยุ่นและความสามารถในการปรับตัวของไทยที่มีมาตั้งแต่อดีตนี้ ถือเป็นรากฐานสำคัญที่ช่วยให้ไทยผ่านพ้นสถานการณ์ทางเศรษฐกิจในปัจจุบันที่ซับซ้อน และสามารถคว้าโอกาสที่ช่วยประเทศให้เติบโตทางเศรษฐกิจได้ โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้นำเสนอนโยบายด้านเศรษฐกิจของรัฐบาล รวมถึงวิสัยทัศน์ต่ออนาคตของประเทศไทย  

ส่วนของการกำหนดนโยบาย เป้าหมายของรัฐบาล คือ การสร้างนโยบายเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง ทำให้เศรษฐกิจเติบโตด้วยการส่งเสริมนวัตกรรม ควบคู่กับการให้ความสำคัญกับความยั่งยืน โดยมีแนวทางในการเสริมสร้างเสถียรภาพทางการคลัง การปฏิรูปกฎระเบียบ และการลงทุนเชิงกลยุทธ์ในสาขาที่สำคัญ อาทิ ไทยปรับปรุงมาตรการด้านภาษีเพื่อดึงดูดการลงทุนมากขึ้น และปรับปรุงกระบวนการในการดำเนินธุรกิจ ขจัดอุปสรรคด้านขั้นตอนเพื่อส่งเสริมนวัตกรรมด้านธุรกิจและการเติบโตของผู้ประกอบการ รวมทั้งลดความซับซ้อนในการออกใบอนุญาตทำงานสำหรับแรงงานต่างชาติ พัฒนาระบบ Super License สำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย ลดข้อจำกัดการนำเข้าและส่งออก และการส่งเสริมพลังงานสะอาด โดยมีจุดมุ่งหมายสำคัญเพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นในการดำเนินธุรกิจ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยในเวทีโลก

นโยบายทางการเงินการคลังที่สำคัญ คือ การกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านโครงการกระเป๋าเงินดิจิทัล โดยในไตรมาสแรกของปี 2567 ประเทศไทยมีการเติบโตของ GDP อยู่ที่ 1.5% และคาดการณ์ทั้งปีจะอยู่ที่ 2-3% รัฐบาลจึงมุ่งที่จะเปลี่ยนแปลงการเติบโตเศรษฐกิจของไทยให้สูงขึ้นผ่านการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต 1 หมื่นบาท (275 ดอลลาร์สหรัฐ) ให้คนไทย 50 ล้านคน ซึ่งจะช่วยอัดฉีดเงินกว่า 5 แสนล้านบาทเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจไทย และจะสามารถกระตุ้น GDP ได้ 1.2 - 1.8% และด้วยกระเป๋าเงินดิจิทัลนี้เงินจะลงไปถึงชุมชนท้องถิ่น ธุรกิจเล็ก ๆ ทำให้เกิดผลกระตุ้นเศรษฐกิจมากขึ้น โดยในระยะยาว นโยบายดังกล่าวจะวางรากฐานระบบการชำระเงินแบบบล็อกเชนทั่วประเทศ พร้อมด้วยการรักษาวินัยทางการเงินการคลังอย่างเคร่งครัด และการลงทุนจากต่างประเทศที่มากขึ้น

ด้านนโยบายการค้า รัฐบาลจะตั้งเป้าหมายให้ไทยเป็นพันธมิตรที่สำคัญสำหรับ Supply Chain ทั่วโลก โดยดำเนินการลดข้อจำกัดการนำเข้า-ส่งออก เร่งการเจรจา FTA กับเขตเศรษฐกิจสำคัญ ๆ ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้ประกาศว่า การเจรจา FTA ไทย-สหภาพยุโรป ที่มีความคืบหน้าและคาดว่าจะลงนามความตกลงได้ภายในปี 2568 

ด้านการดำเนินธุรกิจ รัฐบาลกำลังสร้างกลไกในการเติบโตทางเศรษฐกิจแบบใหม่ ซึ่งขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์ รวมทั้งอุตสาหกรรมแห่งอนาคต ควบคู่กับการส่งเสริมธุรกิจที่สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมทั้งยังปรับปรุง ease of doing business กฎระเบียบและการแปลงบริการภาครัฐให้เป็นดิจิทัล และลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ เช่น สนามบิน และโครงการ Landbridge

ด้านการพัฒนามนุษย์ รัฐบาลพร้อมเสริมสร้างบุคลากรให้มีความพร้อมสำหรับอนาคต ด้วยการส่งเสริมการศึกษา ทักษะ และการเรียนรู้ตลอดชีวิต ส่งเสริมการศึกษาในวิชาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์ (STEM) ให้กับเยาวชนตั้งแต่ยังเด็ก รวมถึงมีหลักสูตรในการปรับทักษะทางวิชาชีพสำหรับแรงงานที่มีอยู่ด้วย นอกจากนี้ รัฐบาลมีแผนที่จะดึงดูดผู้มีความสามารถจากต่างชาติ ด้วยการปรับปรุงการออกใบอนุญาตทำงานและกระบวนการขอวีซ่า และเสนอสิทธิประโยชน์ เพื่อเติมเต็มช่องว่างด้านแรงงานที่มีทักษะ

ด้านการส่งเสริมความยั่งยืน ไทยให้ความสำคัญกับการเติบโตที่ยั่งยืนและครอบคลุม ผ่านการปรับปรุงเศรษฐกิจสีเขียว และการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานไปสู่พลังงานสะอาด ในขณะที่เพิ่มความพยายามเป็นสองเท่าในการบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2050 และ net-zero ภายในปี 2065 ซึ่งในปี 2040 ไทยจะกลายเป็นผู้ผลิตพลังงานสะอาดชั้นนำในภูมิภาค โดย 50% ของไฟฟ้าทั้งหมดในประเทศไทยมาจากแหล่งพลังงานหมุนเวียน พร้อมเชิญชวนภาคเอกชนที่มีความเชี่ยวชาญด้านพลังงานสะอาดมาร่วมลงทุนในไทยมากขึ้น ซึ่งในปีนี้รัฐบาลมีแนวทางที่จะใช้เงินทุนจำนวนเกือบ 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ (3 หมื่นล้านบาท) ในตราสารหนี้เพื่อความยั่งยืน และเน้นย้ำถึงความยั่งยืนทางการเงินและการคลัง ซึ่งไทยยังคงรักษาระดับหนี้สาธารณะและการขาดดุลทางการคลังอยู่ในขอบเขตที่จัดการได้ และด้วยทุนสำรองระหว่างประเทศที่เพียงพอ ไทยจะยังคงรักษาการเติบโตและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจไว้ได้

โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงวิสัยทัศน์ Ignite Thailand ทั้ง 8 วิสัยทัศน์ ซึ่งจะขับเคลื่อนให้ไทยเป็นศูนย์กลางที่ครอบคลุมทั้งด้าน 1. การบิน ซึ่งไทยจะอัพเกรดสนามบินที่มีอยู่และสร้างสนามบินเพิ่มเติม เพื่อให้บริการมากขึ้นและเป็นทางเลือกของการคมนาคม 2. การท่องเที่ยว ซึ่งปีหน้าจะเป็นปีสำคัญของการท่องเที่ยวไทย รัฐบาลอยู่ระหว่างการพูดคุยเพื่อจัดกิจกรรมระดับโลกจัดที่ประเทศไทย อาทิ Art Basel และ Formula 1 3. การรักษาพยาบาลและสุขภาพ 4. การเกษตรและอาหาร 5. การขนส่ง 6. การผลิตยานยนต์แห่งอนาคต 7. เศรษฐกิจดิจิทัล และ 8. ศูนย์กลางทางการเงิน โดยนายกรัฐมนตรีประกาศว่า ต้องการทําให้ประเทศไทยเป็น "สถานที่ที่น่าอยู่" เป็นสำนักงานใหญ่ประจำภูมิภาคของบริษัททางการเงิน ซึ่งเป็นด้านที่ไทยมีศักยภาพ ด้วยการสนับสนุนการลงทุนของรัฐบาล ประกอบกับศักยภาพของประเทศไทย ทำให้เชื่อมั่นได้ว่าวิสัยทัศน์นี้อยู่ใกล้แค่เอื้อม

โดยนายกรัฐมนตรีเชิญชวนทุกคนร่วมการเดินทางในการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ ด้วยการสนับสนุนจากรัฐบาล บวกกับศักยภาพของประเทศไทยที่มีสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อนวัตกรรมและการเติบโต นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่า จะทำให้ทุกฝ่ายสามารถสร้างอนาคตที่เจริญรุ่งเรือง ยั่งยืน และครอบคลุม เพื่อประโยชน์และความสำเร็จร่วมกัน  

ในช่วงท้าย นายกรัฐมนตรียังประกาศถึงความมุ่งมั่นที่จะร่วมมือกับทุกคน เพื่อมุ่งให้บรรลุความสำเร็จร่วมกัน และเน้นย้ำความพร้อมสู่การเปิดประตูต้อนรับการลงทุนในประเทศไทยจากต่างชาติ